ทริสเปิดตัวโครงการใหม่แกะกล่อง "จัดอันดับหลักสูตรการศึกษา"
หวังเป็นคู่มือเลือกคณะตอนสอบเอ็นทรานซ ์และเป็นกระจกส่องสถาบัน งานนี้ยังไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า
แต่ทริสเตรียมใจถูกด่าไว้แล้ว นอกจากนี้ยังมีลูกค้ากลุ่มประกัน, หน่วยงานราชการ
และรัฐวิสาหกิจให้จัดอันดับอีกมาก เตรียมพร้อมขยับขยายจากบริษัทอันดับท้องถิ่นสู้ระดับสากล
"สิ่งนี้เป็นเสมือนคู่มือให้กับผู้บริโภค และถ้าเราไม่คิดอะไรมาก
การศึกษาก็คือสินค้าอย่างหนึ่งที่เราต้องลงทุนซื้อหามาด้วยค่าหน่วยกิต"
ดร. วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทย เรทติ้ง แอนด์
อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส หรือ ทริส (TRIS) กล่าว
อาจจะแรงไปสักนิดกับความรู้สึกของใครบางคนที่มองว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
แต่ในความหมายแล้วเป็นเพียงความปรารถนาของทริสที่อยากจะเห็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายได้มีคู่มือดี
ๆ สักเล่มเพื่อใช้ในการพิจารณาตัดสินใจเลือกเรียนคณะหรือสาขาอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับตัวเอง
ทั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาเมื่อถึงฤดูสอบเอ็นทรานซ์เพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการสอบคือ การเลือกคณะหรือสาขาวิชา
ซึ่งส่วนใหญ่เหตุผลที่ใช้ในการเลือกคณะหรือสาขาในมหาวิทยาลัยนั้น ๆ จะมาจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมาแต่ไม่ได้มีการพิสูจน์ออกมาอย่างชัดเจน
"เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่าสถาบันที่มีหน่วยกิตถูกที่สุดเราจะต้องเรียนที่นั่น
เราอาจจะเลือกเรียนสถาบันที่แพงก็ได้ถ้าคุณภาพสูงกว่า" ดร. วุฒิพงษ์กล่าว
นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิด "โครงการจัดอันดับการศึกษา"
ขึ้นมา
ประเมินการศึกษา ประวัติศาสตร์ใหม่ของไทย
ถ้าจะกล่าวถึงที่มาของโครงการนี้คงต้องเริ่มต้นจากการที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) ได้มีหนังสือเชิญทริสเข้าร่วมเสนอโครงการวิเคราะห์คุณภาพบัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่าง
ๆ ในสาขาวิชาชีพทั้งด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ในขั้นต้น 4 คณะวิชา คือวิศวกรรมศาสตร์
วิทยาการคอมพิวเตอร์เทคโนโลยีสารสนเทศ นิเทศศาสตร์ และบริหารธุรกิจ-พาณิชยศาสตร์-การบัญชี
จากการประชุมกับคณะที่ปรึกษา ทริสจึงได้จัดทำข้อเสนอโครงการจัดอันดับการศึกษาสาขาบริหารธุรกิจ
และวิทยาการคอมพิวเตอร์ เพื่อเสนอต่อ สกว. ในการอนุมัติโครงการและสนับสนุนทางด้านงบประมาณ
"งานนี้เหมือนกับการทำงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นครั้งแรกในเมืองไทย
เราอยากจะให้เป็นเสมือนกระจกส่องให้การศึกษาดีขึ้น" ดร. กำจัด มงคลกุล
ผู้อำนวยการโครงการจัดอันดับการศึกษาของ สกว. กล่าว
อย่างไรก็ตาม สกว. ยืนยันว่าการที่ริเริ่มโครงการนี้ขึ้นมานั้นไม่ได้หมายความว่าการศึกษาแย่ถึงขนาดต้องมีหน่วยตรวจสอบ
"แต่เพราะที่ผ่านมาเหมือนกับว่าไม่มีกระจกมาส่องให้เห็นว่าเราอยู่ตรงไหนกันรบ้าง
มีจุดใดที่เราอยู่แล้วหรือจุดใดที่ควรพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น โครงการนี้นับเป็นการสนับสนุนให้สถาบันต่าง
ๆ ตื่นตัวในเรื่องคุณภาพการศึกษาหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการประกันสุขภาพการศึกษาก็ได้"
และเมื่อได้พิจารณาแผนพัฒนาการศึกษาระยะยาวของทบวงมหาวิทยาลัยตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2540-2544 ปรากฏว่าได้มีการกำหนดกลยุทธ์และมาตรการเกี่ยวกับ
"การประกันคุณภาพการศึกษาเพื่อเป็นฐานหลักในการประกันคุณภาพอย่างเป็นระบบ
ตลอดจนสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาระบบติดจามและประเมินผลในสถาบันอุดมศึกษาเปรียบเทียบระหว่างมหาวิทยาลัย"
โครงการจัดอันดับการศึกษาจึงสอดคล้องกับแผนงานของทบวงมหาวิทยาลัยอีกทางหนึ่งด้วย
ดังนั้นจึงเชื่อแน่ว่าโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ไม่ใช่เรื่องง่าย ทริสเตรียมใจไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม การที่ทริสเสนอตัวเข้ามาจัดอันดับสถาบันการศึกษาเช่นนี้ สายตาหลายคู่คงมองด้วยความสนใจ
ในขณะที่สายตาอีกหลายคู่อาจมองด้วยความแปลกใจว่าทริสไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลยเพราะการประเมินโปรแกรมการศึกษานี้พูดอีกนัยหนึ่งคล้ายกับ
"การจับครูอาจารย์ทั้งหลายมานั่งสอบ" แน่นอนต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองทั้งในแง่บวกและแง่ลบ
"ในระยะแรกจึงต้องทำความเข้าใจกันมากหน่อยเท่านั้นว่าที่เราทำเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม"
ดร. กำจัด แห่ง สกว. ให้ความเห็น
แต่ทั้งนี้ แม้ว่าทริสยืนยันถึงความตั้งใจดีต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาแต่ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะ
"ถูกด่า"
ในระยะนี้ ดร. วุฒิพงษ์และทีมงานของทริสจึงใช้เวลาส่วนหนึ่งหมดไปกับการเดินสายทำความเข้าใจและเชื้อเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับฟังคำชี้แจงต่าง
ๆ
สิ่งหนึ่งที่ทริสต้องทำความเข้าใจกับสถาบันการศึกษาอย่างมากก็คือ โครงการนี้
เป็นการประเมินคุณภาพของโปรแกรมการศึกษาในสาขาวิชาต่าง ๆ และไม่ใช่จัดอันดับมหาวิทยาลัย
แต่เป็นการจัดอันดับโปรแกรมการศึกษาที่สถาบันการศึกษาต่าง ๆ กำลังเปิดสอนอยู่ในขณะนี้
"ถ้าโครงการเป็นที่ยอมรับสิ่งสำคัญประการหนึ่งคือ ความตื่นตัวของสถาบันการศึกษาต่าง
ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสถาบันนั้น ๆ ในการที่แต่ละสถาบันจะได้มีเครื่องประกันคุณภาพของโปรแกรมการศึกษาของตน"
ดร. กำจัด กล่าว
บัญญัติ 6 ประการ มาตรวัดคุณภาพ
เกณฑ์พิจารณาที่ทริสศึกษาและสรุปออกมาใช้ในปีนี้มี 6 ข้อ ได้แก่ คณาจารย์
หลักสูตร กิจกรรมเสริมหลักสูตร การบริการสนับสนุน การบริหารเชิงกลยุทธ์และสภาพแวดล้อม
ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลที่ได้เป็นตัวบอกคุณภาพของโปรแกรมการศึกษาที่แท้จริง
ทริสจึงใช้วิธีประเมินทั้งในแง่ข้อมูลตัวเลขและการสัมภาษณ์พูดคุยกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
อาทิ ผู้บริหารหรือผู้ประกอบการบริษัทต่าง ๆ ที่รับนักศึกษาที่จบเข้าทำงาน
ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันถึงทัศนะที่มีต่อสถาบันการศึกษานั้น
ๆ
โดยกระบวนการจัดอันดับจะเริ่มขึ้นหลังจากที่ได้รับการยินยอมจากสาขาหรือคณะที่จะทำการประเมิน
จากนั้นทีมงานของทริสจะเข้าไปศึกษาและรวบรวมข้อมูลด้วยการเยี่ยมชมสถาบันการศึกษา
และสัมภาษณ์เจาะลึกผู้บริหาร คณาจารย์ และนักศึกษา จากนั้นจึงมาทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้
จากนั้นคณะกรรมการจากผู้ทรงคุณวุฒิที่ตั้งขึ้นโดยทริสจะมีการประชุมและจัดอันดับให้กับสาขาหรือคณะวิชานั้น
ๆ ถึงขั้นตอนนี้ถ้าสาขาหรือคณะไม่พอใจในผลการจัดอันดับก็สามารถยื่นข้อมูลเพิ่มเติมเพื่ออุทธรณ์
ซึ่งคณะกรรมการจะนำข้อมูลใหม่ที่ได้มาประกอบการพิจารณา และรายงานผลการจัดอันดับเสนอไปยัง
สกว. ในฐานะผู้สนับสนุนการวิจัย
ถึงขั้นตอนนี้ถึงแม้สาขาหรือคณะจะไม่พอใจต่อผลการจัดอันดับก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก
แต่สาขาและคณะจะมีสิทธิเลือกให้ สกว. ประกาศหรือไม่ประกาศ ผลการจัดอันดับต่อสาธารณะก็ได้
ทำนองเดียวกับการจัดอันดับผลการดำเนินงานของกิจการต่าง ๆ ที่ผ่านมา
ส่วนการจัดอันดับที่ออกมาจะแสดงด้วยสัญลักษณ์ตัวอักษร A ถึง E ซึ่งในการรายงานผลนั้นจะใช้วิธีการรายงานแบบแยกเป็นรายการตาม
6 เกณฑ์ที่ใช้พิจารณาและสรุปเป็นผลการจัดอันดับโดยรวมด้วย เพื่อให้สามารถเห็นจุดแข็งของแต่ละปัจจัยได้อย่างถี่ถ้วน
"ในการจัดอันดับการศึกษาเรามองเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของสถาบันนั้น
ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) เข้าไปในตัวนักศึกษา เพราะฉะนั้นเราจะต้องสามารถแยกออกได้ว่าสิ่งใดที่
นศ. มีอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องยากที่จะดูอีก แต่สิ่งที่เราพยายามที่จะดู
คือ จากการที่ผู้เชี่ยวชาญและจากคนของทริสเข้าไปในสถาบันนั้นพร้อมกัน และดูว่าสถาบันนั้นได้ให้อะไรกับนักศึกษาบ้าง"
หนึ่งในทีมเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโครงการให้ความเห็น
หน่วยกล้าตาย 7 รายแรก
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ทริสและ สกว. จึงเริ่มเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าฟังคำชี้แจง
และเกณฑ์ในการพิจารณา อาทิ ผู้บริหารสถาบันการศึกษาจากภาครัฐและเอกชน ระดับอธิการบดี
คณบดี และตัวแทนคณะ รวมทั้งตัวแทนจากปลัดทบวง และจากสมาคมมหาวิทยาลัยเอกชนซึ่งมีอธิการบดีของ
ม. อัสสัมชัญ (ABAC) เป็นประธานสมาคม
ในวันนั้นทุกฝ่ายเห็นด้วยในหลักการและขอกลับไปปรึกษายังหน่วยงานของตนก่อน
แต่ที่ยืนยันว่าจะเข้าร่วมแน่นอนคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นัยว่าทั้งสองมหาวิทยาลัยชั้นนำนี้อยากเห็นเหมือนกันว่าตนเองอยู่ตรงจุดไหน
"ในการประชุมนัดแรกบางรายเป็นเพียงตัวแทนหน่วยงานมารับฟังการประชุมเท่านั้น
แต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจโดยตรงจึงขอกลับมาหารือกันภายในหน่วยงานของตัวเองก่อน"
ดร. กำจัดกล่าว
"แต่ที่แน่ ๆ มีมหาวิทยาลัยเอกชนอยากให้เราจัดอันดับเรียบร้อยแล้ว
เพราะสถาบันเอกชนหลาย ๆ แห่งอยากให้คุณภาพการศึกษาเป็นที่ยอมรับ เขาจึงมีความสนใจอยากให้เราเข้าไปดู"
ปนัดดา เผือกขาว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ทริส กล่าวด้วยความปลื้มใจ
28 กุมภาพันธ์เป็นกำหนดส่งคำยืนยันของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อเข้าร่วมโครงการให้กับทริส
โดยสาขาที่จะทดลองประเมินคือ บริหารธุรกิจ ในชั้นแรกมีสถาบันของรัฐยืนยันเข้าร่วม
4 ราย คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ม. ธรรมศาสตร์ ม. สงขลานครินทร์ และ ม.
ขอนแก่น สำหรับ ม. เชียงใหม่นั้นแจ้งมาว่าเนื่องจากเปลี่ยนคนบดีจึงยังไม่พร้อม
ส่วนสถาบันเอกชนที่ยืนยันเข้ามามี 3 ราย คือ ม. ธุรกิจบัณฑิต ม. หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
และ ม. กรุงเทพ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ชี้แจงไปเมื่อต้นเดือนเมษายนคงจะมีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมเพิ่มขึ้น
เนื่องจากทริสได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสถาบันอุดมศึกษารวมถึงสถาบันราชภัฏ
และระดับมัธยมศึกษาทั้งครูอาจารย์และนักเรียนนักศึกษาเข้าฟังในครั้งนี้ด้วยกว่า
200 ราย
แต่ทั้งนี้ การสนับสนุนของ สกว. นั้น ในชั้นแรกตกลงกันไว้ว่า สกว. จะสามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายได้ประมาณ
6 ราย ซึ่งทริสตั้งอัตราค่าบริการต่อหนึ่งโปรแกรมการศึกษาต่อหนึ่งสถาบันไว้ที่
3-4 แสนบาท ส่วนที่เกินกว่านั้นจึงเป็นหน้าที่ของทริสเองที่จะไปจัดการกับค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอง
ทริสจึงได้เสนอไปยังสถาบันต่าง ๆ ด้วยถ้ามีจำนวนเข้ามาเกินกว่าจำนวนที่
สกว. สนับสนุนค่าใช้จ่ายได้นั้น สถาบันต่าง ๆ จะมีความพร้อมในการเฉลี่ยค่าใช้จ่ายหรือไม่
ซึ่งมีเพียงรายเดียวที่ตอบรับการเฉลี่ยค่าใช้จ่ายคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตามในความเหมาะสมแล้ว ทริสและ สกว. เห็นว่าจำนวนสถาบันที่จะนำมาจัดอันดับควรอยู่ในช่วง
5-15 รายเพราะถ้าน้อยหรือมากกว่านี้ก็ไม่เหมาะสมทั้งในเรื่องของเวลา และงบประมาณ
รวมทั้งความน่าเชื่อถือในการเสนอผลงานออกมาสู่สาธารณชน
ทั้งนี้ ทีมงานจะใช้เวลาเข้าไปประเมินแต่ละที่ประมาณ 4-5 เดือน และเหลือเดือนที่
6 ไว้สำหรับกรณีการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งถ้าสามารถเริ่มงานได้ภายในเดือนเมษายนและเป็นไปตามกำหนด
ทริสจะเผยแพร่ผลการประเมินในราวเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ทริสจะมีเวลาทำงานประมาณ
6-7 เดือน ซึ่งนับว่าเพียงพอกับแผนงานที่วางไว้
ประกัน+ซิเคียวริไทซ์ งานใหม่ที่อย่างไรก็ต้องทำ
นอกจากการจัดอันดับการศึกษาในปีนี้แล้ว สำหรับปีหน้าทริสได้เตรียมที่จะขยายไปในส่วนธุรกิจประกันอีกด้วย
การจัดอันดับเครดิตของบริษัทประกันนี้ ทริสมองประโยชน์ใน 2 ทาง คือประการแรกถ้าบริษัทประกันต้องการระดมทุนจะได้ใช้เรตติ้งเหมือนกับบริษัททั่ว
ๆ ไป และนำไปใช้ใน Bonds Market หรือตลาดอื่นที่มีลักษณะอย่างเดียวกันได้
อีกประการคือ สิ่งนี้จะแสดงถึงความมั่นคงของบริษัทประกัน เป็นเหมือนกับคู่มือผู้บริโภคอีกอย่างหนึ่งบอกผู้ที่จะซื้อกรมธรรม์ว่าบริษัทประกันนั้น
ๆ มีสถานภาพมั่นคงอย่างไรบ้าง "โอกาสที่จะได้สินไหมทดแทนเมื่อเกิดเหตุการณ์มีมากน้อยแค่ไหนเพราะเวลาเราลงทุนเรื่องประกันชีวิตเราพูดกันเป็น
30-40 ปี เราก็อยากเห็นว่าบริษัทที่เราเอาเงินไปวางไว้นั้นมีความมั่นคง"
ดร. วุฒิพงษ์ กล่าว
นอกจากนี้ ธุรกิจแปลงหนี้เป็นตราสารทางการเงินหรือซิเคียวริไทเซชั่น ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทริสเตรียมไว้เช่นกัน
แม้มีหลายเสียงติงว่ายังไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ ในประเทศไทยระหว่าง 1-2 ปีนี้
เพราะติดในเรื่องตัวบทกฎหมาย
แต่ในกรณีที่เกิดในต่างประเทศ เช่น กรณีของบริษัทไทยคาร์ที่ไปออกยังเกาะเคย์แมน
ทริสก็สามารถทำเรตติ้งให้ได้และพร้อมที่จะทำด้วย โดยอาจจะจับมือกับสถาบันจัดอันดับของต่างประเทศ
ซึ่งทริสได้เตรียมไว้ทั้งในกรณีสินทรัพย์ในไทยจะไปเกิดในต่างประเทศหรือในระยะยาวก็อาจเกิดในไทยด้วย
ปี' 39 กำไร 15 ล้าน ได้มาแบบไม่ตั้งใจ
การที่ทริสแตกไลน์ออกมาจากการจัดอันดับเครดิตนี้ นับเป็นความชาญฉลาดของทริสอย่างหนึ่งเพราะตลาดในบ้านเรานั้นยังมีความจำกัดในหลาย
ๆ ด้าน การหวังพึ่งรายได้จากการจัดเครดิตเรตติ้งอย่างเดียวคงไม่พอ
ขณะเดียวกันการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ 11 รายแรกกำลังจะออกมาและ
14 รายใหม่ที่กำลังตามไป "ขึ้นเขียง" รวมทั้งหน่วยงานราชการที่กำลังทยอยเข้ามาให้ประเมิน
(ดูล้อมกรอบ)
สิ่งเหล่านี้ถ้าหากสะดุดหรือถูกปฏิเสธจากทางการไม่ว่ากรณีใดก็ตามรายได้มหาศาลที่คาดว่าจะได้ก็หายไปด้วย
การหาหนทางใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทริสอยู่ไม่น้อย "สิ่งที่เราเลือกทำแต่อย่างนี้
ไม่ใช่เพื่อทำมาหากินหรือเพื่อทำกำไร แต่เราเห็นว่าแต่ละอย่างมันไปสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้กับระบบ
เพราะว่าถ้าเรามองดูการจัดอันดับเครดิตเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน
การจัดอันดับผลการดำเนินงานเป็นการให้โครงสร้างพื้นฐานทางการบริหาร การจัดอันดับการศึกษาเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในเชิงการศึกษา"
ดร. วุฒิพงษ์ กล่าว
"ในวันนี้ทริสสามารถบอกใครต่อใครได้อย่างภาคภูมิว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นไม่ขาดทุน"
ดร. วุฒิพงษ์ กล่าว
ปีนี้จึงเป็นปีแรกที่ทริสปิดบัญชีแล้วกำไรเกือบ 15 ล้านบาทโดยไม่ตั้งใจ
ซึ่งสิ่งนี้ ดร. วุฒิพงษ์กล่าวไปด้วยความปลื้มใจ แต่ไม่วายย้ำว่าไม่ใช่การคุย
เพียงแต่ต้องการชี้ว่า "การทำในสิ่งที่ถูกต้องและมีประโยชน์ต่อส่วนรวมนี้ในหลาย
ๆ ครั้งก็นำมาซึ่งผลกำไรได้โดยไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลย"
"เราสามารถทำกำไรได้แม้เราจะขาดทุนติดต่อมาเป็นเวลา 2 ปี เป็นจำนวน
45 ล้าน ปี'39 เราปิดไปประมาณ 15 ล้านบาทก็เหลืออีก 30 ล้าน ก็หวังว่าในปี'
40 หรืออย่างช้าปี' 41 จะล้างขาดทุนได้หมด ปีนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน บอร์ดเขาตั้งให้ล้างขาดทุนอีก
20 ล้าน แต่ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า" ดร. วุฒิพงษ์กล่าวอย่างกังวลใจด้วยใบหน้ายิ้ม
ทั้งนี้ รายได้หลักของปีนี้น่าจะมาจากงานจัดอันดับผลการดำเนินงานของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจซึ่งถือเป็นงานหลักในปีนี้ของทริส
อนาคตยืนได้สง่างามในเวทีโลกและแบบไทย ๆ
3 ปีเศษที่ผ่านมา ทริสได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็น "บริษัทจัดอันดับ"
ของประเทศได้ แม้ว่าในระยะเริ่มต้นจะมีผลสะท้อนกลับค่อนข้างแรงจากวงการการเงินในลักษณะ
"เธอเป็นใครจึงมาประเมินฉัน"
ถึงจุดนี้ไม่เพียงแต่งานจัดอันดับเครดิตซึ่งเป็นงานหลักเท่านั้น ทริสขยายพื้นที่การทำงานของตัวเองไปสู่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจและราชการ
ซึ่งดีหน่อยตรงที่มีกรมบัญชีกลางให้การสนับสนุนการทำงาน
สำหรับงานจัดอันดับการศึกษาซึ่งเป็นงานใหม่ "แกะกล่อง" ทริสคงได้รับคำถามเจ็บ
ๆ แบบเดิม เพราะครั้งนี้ก้าวขึ้นไปถึงระบบการสอนของอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหลาย
งานนี้ต้องยอมรับว่าไม่ใช่งานที่ง่ายเลยทั้งในตัวเนื้อหาที่ต้องประเมินและการทำความเข้าใจกับผู้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย
ดร. วุฒิพงษ์เคยปรารภขึ้นเมื่อมีผู้ถามถึงการประเมินว่า "เรื่องถูกด่าก็โดนซะจนชินแล้ว
ทำอาชีพนี้เหมือนกับเขาจ้างให้มาโดนด่าหรืออย่างไรไม่ทราบ"
แต่แม้จะมีอุปสรรคอย่างไรก็ตาม วันนี้เมื่อพูดถึงงานที่ทริสทำและกำลังจะทำนั้น
เขายังพูดด้วยความกระตือรือร้นในการทำงานอย่างเต็มที่
เมื่อมีใครถามว่าทริสถึงขั้นอินเตอร์หรือยัง?
เขาจะตอบด้วยความภูมิใจว่า "เราเป็นทั้งสองอย่าง" งานของทริสจึงสามารถรับรู้ได้ทั้งในลักษณะไทย
ๆ "เราก็ค่อนข้างจะพิถีพิถันในด้านมาตรฐานการเขียนเพราะฉะนั้นก็ต้องเขียนให้ระดับอธิบดีหรือปลัดกระทรวงยอมรับได้"
ในขณะเดียวกันงานของทริสก็สามารถเผยแพร่ให้นักลงทุนทั่วโลกรับรู้ได้ด้วย
"คนที่กรุงเทพฯ, ขอนแก่น, โคราช, หาดใหญ่ได้อ่านอะไร คนที่นิวยอร์ก
ที่ลอนดอน แฟรงเฟิรต์ หรือฮ่องกงก็ได้อ่านเช่นนั้น"
การทำงานในองค์กรอย่างทริสนั้น กร. วุฒิพงษ์พูดอยู่บ่อยครั้งว่า "ลูกน้องมีความคิดเห็นของตนเองได้
ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนหัวหน้า แต่เป็นในลักษณะที่มีสัมมาคารวะแบบคนไทย"
ซึ่งเป็นการทำงานที่เหมือนกับนำระบบของต่างประเทศมาใช้กลาย ๆ โดยผสมผสานกับของไทยตามสไตล์วุฒิพงษ์
ไม่เพียงแต่การทำงานเท่านั้น มาตรฐานต่าง ๆ เขาก็พยายามเลียนแบบจากมาตรฐานสากลเช่นกัน
"เราพยายามทำองค์กรให้เป็นมาตรฐานสากลแต่เราก็ใช้คนไทย วิธีการทำงานของเราก็ยังเป็นแบบไทย
ๆ ออฟฟิศนี้ถ้าไม่ได้อยู่ที่สีลม เราอยู่ที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ออฟฟิศก็คงไม่ต่างกัน
รูปลักษณะที่มีอยู่นี้ก็คือสิ่งที่เราอาจจะพบที่โตเกียว, นิวนอร์ก หรือลอนดอน"
เมื่อพูดถึงทิศทางต่อไปที่ทริสจะดำเนินต่อไปในขวบปีที่ 4 นี้ ดร. วุฒิพงษ์กล่าวว่า
"ทิศทางโดยรวมของทริสสรุปง่าย ๆ ก็คือ วันนี้เรากลายจากสถาบันจัดอันดับเครดิตเป็นสถาบันจัดอันดับอเนกประสงค์แล้ว
และในการทำสิ่งที่คิดว่าเป็นสาธารณประโยชน์นี้ เราจะทำโดยอยู่บนพื้นฐานของการดำเนินงานแบบธุรกิจ
และอยากพิสูจน์ว่าสาธารณประโยชน์และกำไรไม่ได้ขัดแย้งกัน นอกจากนั้น เราอยากจะเป็นบริษัทไทยเล็ก
ๆ ที่สามารถบริหารโดยคนไทย เจ้าของเป็นคนไทย แล้วก็สามารถยืนได้อย่างสง่างามในเวทีโลกและเวทีไทย"