"พาณิชย์" ปิ๊งไอเดีย เตรียมจูงมือแกรมมี่-อาร์.เอส.ฯ บุกลงทุนธุรกิจบันเทิงในญี่ปุ่น เกาหลีและไต้หวัน หลังมองแนวโน้มตลาด ขยายตัวสูง เหตุวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ขณะที่ผลการประชุมหัวหน้าฮับ ด้านสินค้าเกษตร สรุปปีหน้าสินค้าเกษตรหลัก ทั้งข้าว มัน ยาง จะส่งออก ได้เพิ่มขึ้น ยกเว้นน้ำตาลลดลง เพราะถูกนำไปผลิตเอทานอล
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าภูมิภาค (รีจีนัล ฮับ) เอเชียตะวันออก (ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระแสความนิยมศิลปวัฒนธรรมระหว่างประเทศของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกมีการขยายตัวมากขึ้น ทำให้แนวโน้มการลงทุนด้าน ธุรกิจบันเทิงมีความน่าสนใจ ขณะเดียวกัน ธุรกิจบันเทิงทั้งของไทย ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน มีความก้าวหน้าเท่าเทียมกัน หากมี ความร่วมมือกัน จะทำให้ธุรกิจขยายตัวได้มากขึ้น
"จะชวนธุรกิจบันเทิงของไทย อย่างแกรมมี่ และอาร์.เอส.ฯ ไปหารือเรื่องการลงทุนกับบริษัทของญี่ปุ่นและเกาหลี เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจบันเทิงและธุรกิจต่อเนื่องร่วมกัน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดความ ร่วมมือระหว่างกันได้เพิ่มมากขึ้นแน่ และถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการทำงานภายใต้รีจีนัล ฮับ" นายราเชนทร์ กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดนโยบายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยให้แต่ละภูมิภาคมีรีจีนัล ฮับ เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางดำเนินงานในแต่ละภูมิภาค โดยกำหนดเป็น 6 ฮับ ได้แก่ อาเซียน, จีน, อินเดีย, สหรัฐฯ, สหภาพยุโรป และเอเชียตะวันออก โดยระหว่างวันที่ 14-16 ธ.ค.นี้ จะมีการหารือแต่ละรีจีนัล และจะนำเสนอแผนต่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้
ส่วนการประชุมเป้าหมายและยุทธศาสตร์ของรีจินัล ฮับรายสินค้า ร่วมกับภาคเอกชนและทูตพาณิชย์ ในประเด็นสินค้าเกษตร นายราเชนทร์กล่าวว่า ได้หารือถึงแนวโน้มสินค้า 4 รายการสำคัญ คือ ข้าว น้ำตาล มันสำปะหลัง และยางพารา โดยสินค้าข้าว ภาคเอกชนเสนอให้ตั้งรีจีนัล ฮับที่ตลาดแอฟริกาเพิ่ม เนื่องจากเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ทั้งนี้ คาดว่าปี 2549 จะส่งออกข้าวได้ 7.5- 8 ล้านตัน มูลค่า 2,310-2,464 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับสินค้าน้ำตาล ปี 2549 คาดว่าจะส่งออกได้ 2.5 ล้านตัน มูลค่า 745 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่ำกว่าปี 2548 ที่คาดว่าจะส่งออกประมาณ 3.2 ล้านตัน มูลค่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากผลผลิต ลดลง จากการปลูกอ้อยน้อยลง ขณะที่ความต้องการเพิ่มมากขึ้นเพื่อนำไปผลิตเอทานอล ขณะที่สินค้ามันสำปะหลัง ปี 2549 คาดว่าจะส่งออกได้ 1.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6.7% มูลค่า 806 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.7% และสินค้ายางพารา ปี 2549 ส่งออก 280 ล้านตัน มูลค่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
นางจันทร์ฉาย นกเทศ กงสุล ฝ่ายพาณิชย์ คุนหมิง ประเทศจีน กล่าวว่า ขณะนี้ผลไม้ไทยเป็นที่ต้องการของตลาดมาก โดยเฉพาะมังคุด ลำไย และทุเรียน แต่ผลไม้ไทยมีจุดอ่อน คือ เป็นสินค้าตามฤดูกาล ที่ผลผลิตจะออกมากช่วงเดือนมิ.ย. ทำให้ผู้นำเข้ากดราคา ดังนั้น ภาคเอกชนกำลังมีการหารือแนวทางแก้ปัญหา ด้วยการควบคุมการผลิตจากไร่ และการขนส่งให้ทยอยเข้าสู่ตลาดจีน เพื่อป้องกันการถูกกดราคา
นอกจากนี้ ข้าวหอมมะลิก็เป็นที่นิยมสูงมากในจีน จัดเป็นสินค้าพรีเมียม แต่พ่อค้าไทยและผู้นำเข้าของจีน มีพฤติกรรมปลอมปน และนำข้าวหอมมะลิที่ไม่มีคุณภาพ หรือไม่ใช่ข้าวหอมมะลิไปวางจำหน่ายทำให้เกิดความเสียหายทางการตลาด ซึ่งเรื่องนี้ได้หารือกับผู้ส่งออกให้ช่วยกันแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว
|