Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2540
"บุญ วนาสิน วาดฝันเชื่อมโยงบริการสุขภาพด้วยระบบไอที"             
โดย มานิตา เข็มทอง กุสุมา พิเสฏฐศลาศัย
 

 
Charts & Figures

กลุ่มบริษัทในเครือ บริษัทโรงพยาบาลธนบุรี จำกัด (มหาชน)


   
www resources

โรงพยาบาลธนบุรี โฮมเพจ

   
search resources

โรงพยาบาลธนบุรี
บุญ วนาสิน
Hospital




บุญ วนาสิน - แพทย์ นักธุรกิจ นักเทกโอเวอร์ และล่าสุดกำลังวาดฝันนำเทคโนโลยีไอทีมาใช้ในการบริหารกิจการโรงพยาบาล และคลินิกต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเชื่อมโยงการให้บริการรักษาสุขภาพ และการประกัน นอกจากนี้ เขายังพยายามฟื้นฟูกิจการวิทยาคมอย่างเร่งด่วน ในฐานะที่เป็น "คนไข้ไอซียู" แล้ว โดยแนะนำธุรกิจไอทีเข้ามาเป็นเลือดก้อนใหม่ในการช่วยชีวิตครั้งนี้ "หมอบุญ" เชื่อมั่นว่าคนที่จะอยู่รอดในโลกของธุรกิจต่อไปได้นั้นต้องพยายามสร้างพันธมิตรเข้าไว้ ล่าสุดเขาได้พันธมิตรยักษ์ใหญ่อย่าง GE ที่ยอมส่งบริษัทลูกเข้ามาสนับสนุนโครงการ TELEMEDICINE เพื่อสานฝันเรื่องเทคโนโลยีของเขา

นักบริหารแต่ละคนล้วนมีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน ตามวิสัยทัศน์ ความชำนาญ ความกว้างขวาง และจังหวะชีวิต

บุญ วนาสิน หรือ "หมอบุญ" นายแพทย์ผู้เริ่มต้นชีวิตการเป็นเจ้าของกิจการเป็นครั้งแรกตามความถนัด ด้วยการทุ่มทุนสร้างโรงพยาบาลธนบุรี อันเป็นแหล่งทำเงินมหาศาลต่อมาจนทุกวันนี้

ด้วยความที่เป็นนักคิด นักฝัน และนักลงทุน ทำให้หมอบุญขยายธุรกิจออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในส่วนของธุรกิจโรงพยาบาล ประกันสุขภาพ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม สิ่งทอ และอื่น ๆ

ธุรกิจของหมอบุญขยายตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยแนวคิดที่ว่า หากสามารถซื้อกิจการอื่นมาทำต่อได้ก็ทำ และลงทุนเองตั้งแต่แรกบ้างในบางโอกาส หมอบุญลุยซื้อกิจการทั้งนอกและในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยแหล่งเงินทุนที่สำคัญมาจาก ร.พ. ธนบุรี และกลุ่มราชธานี ซึ่งทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ชื่อเสียงของหมอบุญลือกระฉ่อนในฐานะนักครอบงำกิจการในตลาดหลักทรัพย์ฯ จนเมื่อมีข่าวว่าหมอบุญแอบเก็บหุ้นของบริษัทใดอยู่ ราคาหุ้นจะพุ่งกระฉูดขึ้นทันที ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้นเมืองไทยที่เต็มไปด้วยนักลงทุนประเภทเก็งกำไร ทันทีที่มีข่าวครอบงำกิจการการเพิ่มทุน ราคาหุ้นจะวิ่งไม่ยั้งเสมอ ข่าวเหล่านี้จึงถูกนำมาใช้เป็นขนมหวานล่อเหยื่ออย่างดีในอดีต

แม้ปัจจุบัน นักลงทุนมีความรู้ ความเข้าใจ และใช้เหตุผลในการลงทุนมากขึ้น แต่ข่าวในเรื่องของการครอบงำกิจการก็ยังขายได้อยู่นั่นเอง

ภาพของหมอบุญอาจจะไม่สดใสนักในสายตาคนโดยส่วนมาก แต่เขายังคงย้ำถึงแนวทางการขยายธุรกิจด้วยการครอบงำกิจการต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะเขาสามารถระดมทุนเพิ่ม และหาพันธมิตรนำธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมได้ทันที

ปัจจุบันบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายบริษัทราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และหมอบุญเองก็ให้ความสนใจมากในหลาย ๆ หมวดอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในหมวดที่เขาถนัดเช่น โรงพยาบาล อย่างไรก็ตามเขาไม่มีนโยบายที่จะเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตร (HOSTILE)

และด้วยเหตุผลที่สามารถระดมทุนผ่านบริษัทลูกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ ณ วันนี้หมอบุญจึงไม่สนใจที่จะนำ ร.พ. ธนบุรีเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ อีก เขามองว่า บริษัทในหมวดโรงพยาบาลไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเท่าที่ควร ทำให้ขาดสภาพคล่อง และราคาหุ้นก็ตกต่ำกว่าที่นำเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ใหม่ ๆ มาก

หมอบุญขยายความว่า "การที่เราจะเข้าตลาดก็คือต้องการแหล่งระดมทุน เราต้องการให้ราคาหุ้นสูงขึ้นไป แต่ส่วนหลังนี้เป็นไปไม่ได้มีแต่จะลด หมวดนี้ไม่มีใครสนใจ เราสนใจซื้อบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในหมวดนี้มากกว่า เหตุผลก็คือสินทรัพย์ดี ผลตอบแทนดี และสามารถขยายธุรกิจออกไปได้"

แต่หากเบื้องลึกอีกข้อหนึ่งที่ทำให้หมอบุญเอา ร.พ. ธนบุรีเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ไม่ได้เพราะติดปัญหาเรื่องผู้ถือหุ้น ทั้ง ๆ ที่เตรียมการและวางแผนที่จะเข้าตลาดฯ มาหลายปีแล้ว และ ร.พ. ธนบุรีปัจจุบันก็อยู่ในสถานภาพบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว

หมอบุญมีแผนจะขยายเครือข่ายของ ร.พ. ธนบุรีออกไปอีกประมาณ 50 แห่ง มีคลินิก (MEDICAL CLINIC) ทั่วประเทศอีก 50 แห่ง เพื่อรองรับธุรกิจประกันสุขภาพ ปัจจุบัน ร.พ. ธนบุรีมีการลงทุนในโรงพยาบาลต่าง ๆ ประมาณ 30 แห่ง

แม้ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพจะสามารถขยายตัวต่อไปได้อีกมาก และเป็นธุรกิจที่ถนัด อย่างไรก็ดีหมอบุญก็มองหาธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวเนื่องเกื้อกูลกันเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง มูลเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องขยายการลงทุนออกไปเรื่อย ๆ ก็เพื่อประโยชน์ทางด้านภาษี โดยการแปลงทุนให้เป็นหนี้ ประกอบกับความเป็นคนไม่หยุดนิ่ง ช่างคิด ช่างฝัน ถึงวันนี้ธุรกิจที่หมอบุญให้ความสนใจอย่างมากคือ "ธุรกิจไอที"

ขยายอาณาจักรสู่ไอที

"ธุรกิจไอทีเป็นเรื่องที่จำเป็น และเราต้องแน่ใจว่าคอมพิวเตอร์ที่เราสั่งเข้ามาจะต้องเป็นการลดต้นทุน ในเมืองไทยตอนนี้ข้อเสียก็คือ ลงทุนในคอมพิวเตอร์แทนที่จะช่วยประหยัดกลับเพิ่มต้นทุนมากขึ้น และผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่ต้องการ นี่คือความผิดพลาดที่พบเกือบทุกบริษัท" หมอบุญกล่าวถึงที่มาของแนวคิดการนำไอทีเข้ามาใช้ โดยเน้นใน 2 ประเด็นสำคัญคือ เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนอย่างแท้จริง

เขาสานฝันของตนโดยการร่วมมือกับ จีอี ฮอสพิเทค เมดิคัล ซิสเต็มส์ อเมริกา จัดตั้งบริษัทลอจิคัล อินฟอร์เมชั่น เน็ตเวิร์ค หรือลิงค์ ขึ้นมาเพื่อให้บริการด้านเครือข่ายสารสนเทศทางการแพทย์ หรือเทเลเมดิซิน โดยเน้นด้านภาพรังสีวิทยา และเป็นศูนย์กลางให้แพทย์ไทยติดต่อสั่งซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ทั่วอเมริกา รวมถึงให้บริการเช่าซื้อ และซ่อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกชนิด

บริษัทลิงค์ จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ขณะนี้หมอบุญคือผู้ถือหุ้นทั้ง 100% เขาได้เจรจาให้จีอีเข้ามาร่วมทุน เพื่อให้เกิดค่านิยมในบริษัท แต่จีอียังไม่รับข้อเสนอดังกล่าว และมีโอกาสที่จะปฏิเสธการร่วมทุนดังกล่าวหากจีอีไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

"จีอีมีนิสัยอย่างหนึ่งคือไม่ชอบเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย เขาอยากจะควบคุม 100 %" หมอบุญให้เหตุผล

ไม่ว่าจีอีจะเข้ามาร่วมทุนหรือไม่ ณ วันนี้หมอบุญยังถือหุ้นอยู่ 100% และมีแผนว่า เมื่อโครงการนี้เป็นไปได้ด้วยดีสักระยะหนึ่ง ก็จะให้กลุ่ม ร.พ. ธนบุรี หรือ บมจ. วิทยาคม เข้ามาถือหุ้นในลิงค์แทนตน ซึ่งคาดว่าจะเป็น บมจ. วิทยาคมมากกว่า แต่ขณะนี้วิทยาคมกำลังอยู่ระหว่างการส่งแผนฟื้นฟูให้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ

เป็นที่ทราบกันดีว่าการถ่ายโอนหุ้นลักษณะดังกล่าว หมอบุญย่อมบวกพรีเมียม (PREMIUM) เข้าไปในราคาหุ้นที่ขายต่อให้วิทยาคม หรือแม้กระทั่งกลุ่ม ร.พ. ธนบุรีก็ตาม ซึ่งก็เป็นการยุติธรรมสำหรับตัวหมอบุญเองในฐานะที่สร้างธุรกิจขึ้นมา มีการติดต่อเจรจากับจีอีจนสำเร็จ ก็ควรจะมีผลตอบแทนบ้าง แต่หากจะให้ยุติธรรมกับผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จะเข้ามารับช่วงต่อนั้นด้วย ราคาที่บวกพรีเมียมเข้าไปก็ควรจะมีความสมเหตุสมผลด้วย มิใช่การหาประโยชน์ส่วนตัวจนเกินไป

แม้จีอีจะไม่ยืนยันในเรื่องการร่วมทุน แต่สำหรับการสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี การติดตั้งอุปกรณ์เครือข่ายฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ และฝึกอบรมด้านบุคลากรนั้น ลิงค์ได้มีการเซ็นสัญญาบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นกับจีอี ฮอสพิเทคฯ แล้ว

แผนการดำเนินงานของลิงค์ในช่วงแรก คือ การจัดตั้งศูนย์วินิจฉัยโรค (DIAGNOSTIC CENTER) 3 แห่งที่รังสิต บางนา-ตราด และธนบุรี โดยใช้เงินลงทุนแห่งละ 80-90 ล้านบาท หรือประมาณ 300 ล้านบาทโดยรวมค่าอุปกรณ์ ค่าเช่าที่ดิน และเงินทุนหมุนเวียน ภายใน 1-2 เดือนนี้จะเริ่มก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในปลายปีนี้

น.พ. จักรพันธ์ พงษ์เสฐียร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ร.พ. ธนบุรี คาดว่าการลงทุนครั้งนี้จะคุ้มทุนภายใน 2 ปีหลังจากเปิดดำเนินการ โดยปีที่ 2 บริษัทจะมีกำไรสุทธิอย่างน้อย 2 ล้านบาท และมีอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุน (RETURN ON INVESTMENT) ประมาณ 20% ในปีที่ 3

ทั้งนี้หมอบุญอธิบายว่า การลงทุนในแต่ละศูนย์จะติดต่อโรงพยาบาลใกล้เคียงกันประมาณ 4-5 แห่ง ให้มาร่วมถือหุ้นประมาณ 50% และลิงค์ถืออีก 50% ศูนย์ฯ นี้จะมีอุปกรณ์การแพทย์ที่สำคัญคือ MRI และเครื่องเอกซเรย์ ซึ่ง MRI นี่ราคาเครื่องละ 40-50 ล้านบาท หากโรงพยาบาลขนาดเล็กและกลางลงทุนเองจะไม่คุ้ม

"ไทยเราใน กทม. มีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 170 กว่าแห่ง แต่อังกฤษทั้งประเทศเขามีแค่ 110 แห่ง มันเปลืองเงินตราของไทยมาก MRI เครื่องหนึ่ง 40-50 ล้านบาท ถ้าทุกคนต่างซื้อเองก็ยิ่งแย่ ต้นทุนจะสูงคืนทุนช้า เราจึงมีแนวคิดที่จะให้ 7-8 โรงพยาบาลมาใช้อุปกรณ์เหล่านี้ร่วมกัน ซึ่งจะประหยัดต้นทุนลงไปได้มาก" หมอบุญกล่าว

ด้วยเหตุนี้เอง หากแต่ละศูนย์รวมหลายโรงพยาบาลเข้าด้วยกัน ได้ประมาณ 1,500 เตียง คาดว่าแต่ละวันจะมีผู้มาใช้ MRI ไม่น้อยกว่า 3-4 ราย โดยจุดคุ้มทุนของ MRI จะอยู่ประมาณ 3 รายต่อวัน การคืนทุนเร็ว ทำให้ศูนย์วินิจฉัยโรคนี้สามารถปรับปรุงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วด้วย

ขณะนี้หมอบุญได้คุยกับโรงพยาบาลในกลุ่มต่าง ๆ บ้างแล้ว แต่ยังไม่สรุปผล เช่น ฝั่งธนฯ จะมี ร.พ. บางปะกอกเป็นหัวหน้า

"การที่เราชวนใครร่วมธุรกิจเราต้องแสดงให้เขาเห็นถึงผลกำไรที่จะทำได้อย่างโครงการนี้ แต่ละโรงพยาบาลไม่ต้องลงทุนเลย แค่เช่าจอเรา สมมติต้องการ 10 จอ เราก็เก็บค่าเช่าเป็นรายเดือน แทนที่เขาจะต้องเอาเงินไปลงทุนทั้งก้อน" หมอบุญกล่าว

บทบาทของลิงค์ในช่วงแรก คือการเชื่อมโรงพยาบาลในเครือธนบุรีทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวม 30 แห่งเข้าด้วยกัน โดยมี ร.พ. รามาธิบดีเป็นศูนย์วิชาการ

ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ภาพชิ้นเนื้อต่าง ๆ จะถูกส่งจากศูนย์วินิจฉัยโรคมายัง ร.พ. รามาธิบดี เพื่อขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่นี่โดยผ่านระบบเทเลเมดิซีน ภาพสีแสดงรายละเอียดของอวัยวะต่าง ๆ เป็นภาพ 3 มิติ คุณภาพสูงช่วยให้การวินิจฉัยโรคของแทพย์ที่รามาธิบดีเป็นไปอย่างถูกต้อง แม้ว่าแพทย์ และคนไข้จะอยู่ห่างไกลกันก็ตาม (พิจารณาภาพประกอบ)

ฟิลิปป์ สติป ผู้อำนวยการบริษัทลิงค์ อธิบายว่า โครงการแรกนี้สามารถให้บริการด้านภาพรังสีวิทยา คือการส่งภาพของฟิล์มเอกซเรย์ที่ถ่ายจากฟิล์มธรรมดา โดยผ่านเครื่องแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอล และส่งผ่านไปยังปลายทางให้รังสีแพทย์ ซึ่งอยู่อีกสถานที่หนึ่งที่ห่างไกลออกไปสามารถอ่านพร้อมวินิจฉัยได้ทันที หรือสามารถที่จะส่งตรงจากเครื่องถ่ายเอกซเรย์ CT SCAN และ MRI ซึ่งสัญญาณภาพที่ได้จะเป็นดิจิตอลอยู่แล้วก็ดำเนินการส่งได้ทันที ทำให้แพทย์ช่วยผู้ป่วยได้ทันเวลาและลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยได้อีกมาก

ทั้งนี้แพทย์ที่ทำการรักษาอยู่อีกสถานที่หนึ่งก็สามารถประชุมผ่านจอภาพเพื่อขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค ซึ่งอยู่ห่างไกลกันได้ด้วย (พิจารณาภาพประกอบ)

วิธีนี้จะช่วยประหยัดบุคลากรทางการแพทย์ลงได้มาก ปัจจุบันไทยประสบปัญหาขาดแคลนแพทย์จำนวนมาก ทั้งแพทย์ทั่ว ๆ ไป และแพทย์เฉพาะทาง

"หมอที่เราขาดมากคือ พยาธิแพทย์ หมอเอกซเรย์ และหมอหัวใจ การใช้ระบบสารสนเทศทางไกลจะทำให้ความเชี่ยวชาญเหล่านี้กระจายไปสู่ประชาชนทั่วประเทศได้ หรือแม้กระทั่งในต่างประเทศ เช่น แถบอินโดจีนในอนาคต" หมอจักรพันธ์ กล่าวเสริม

นอกจากรามาธิบดีแล้ว หมอบุญได้ติดต่อไปยังมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ทุกแห่งเพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์วิชาการขึ้นมารองรับการขยายตัวของศูนย์วินิจฉัยโรคในอนาคต แต่ยังไม่มีการตอบรับจากที่อื่น ไม่ว่าจะเป็น ร.พ. ศิริราช ร.พ. จุฬาลงกรณ์ และ ร.พ. เชียงใหม่

หลังจากศูนย์วินิจฉัยโรคอยู่ตัวแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี แผนขั้นต่อไปของลิงค์ก็คือการใช้ธุรกิจไอทีรุกเข้าไปยังระบบการจัดการของโรงพยาบาลอื่น ๆ นอกเครือธนบุรี

โดยใช้ไอทีเข้าไปจัดการในระบบการเงิน บัญชี คลังยา และซัปพลายเครื่องมือแพทย์ ซึ่งระบบนี้จะเก็บสต็อกที่คลังยาเพียงแห่งเดียวและส่งไปที่เตียงคนไข้เลย ซึ่งจะประหยัดสต็อกบนโรงพยาบาลลงไป ลดจำนวนเภสัชกร และลดเวลาการทำงานของพยาบาลบนตึกผู้ป่วย ทำให้ประหยัดทั้งบุคลากรและต้นทุนดำเนินงาน

ทั้งนี้จีอี ฮอสพิทอล (GE HOSPITAL) ในอเมริกา เจ้าของโรงพยาบาลโคลัมเบีย HCA ซึ่งมีเครือข่ายกว่า 400 แห่ง หลังจากบริษัทแม่เข้าไปจัดการตามระบบเหล่านี้ ทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลงมาประมาณ 20%

"ปกติกำไรของธุรกิจนี้ประมาณ 10-12% ถ้าเราลดต้นทุนได้อีก 20% มันเป็นเงินมหาศาล เพราะทุกอย่างจะตัดคนออกไปหมด การสต็อกยาจากเดิม 40 วัน ก็เหลือแค่ 1 อาทิตย์ เพราะเวลายาในคลังของเราหมด หมอที่ศูนย์ของเราจะบอกทันที และมีรถไปส่งทันที โรงพยาบาลก็ไม่จำเป็นต้องสต็อกยาเองอีกแล้ว การบัญชีก็ไม่ต้องใช้คนมาก เภสัชกรบางแห่งแทบไม่มีเลย นับเป็นการลดต้นทุนการบริหารด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่" หมอบุญอธิบาย

นอกจากนี้ ลิงค์จะเข้าสู่ระบบไอทีทางด้านสุขภาพ ในส่วนของเอเพ็กซ์เฮลท์แคร์ ซึ่งปัจจุบันมีร้านขายยาอยู่ 28 แห่ง และมีแผนจะเพิ่มร้านขายยาขึ้นอีกเดือนละ 5 แห่ง โดยใช้ระบบแฟรนไชส์ ซึ่งมีผู้มาเซ็นสัญญาแฟรนไชส์แล้ว 70 แห่ง

ขั้นต่อไปก็คือเอเพ็กซ์เฮลท์อินชัวรัน ระบบสารสนเทศของลิงค์จะเข้าไปเชื่อมลูกค้าทั้งหมดให้เข้ากับระบบโรงพยาบาลและคลินิกในเครือ ร.พ.ธนบุรี ซึ่งปัจจุบันมีคลินิกอยู่ 20 แห่ง และมีแผนจะเปิดอีก 3 แห่งในปีนี้ เพื่อให้ผู้ที่ใช้ประกันสุขภาพกับโรงพยาบาลหันไปใช้คลินิกในเครือซึ่งกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ แทนเพื่อเป็นการลดต้นทุน และสะดวกสำหรับผู้เอาประกัน

เป้าหมายของหมอบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในส่วนของลิงค์คงไม่พ้น การเชื่อมระบบไอทีของกิจการด้านสุขภาพทั้งหมดให้ต่อเนื่องเป็นระบบเดียวกัน ซึ่งยังไม่มีใครทำได้ในโลกนี้ แม้แต่ในอเมริกา แต่หมอบุญใฝ่ฝันที่จะทำ และเชื่อว่าจะทำได้

ทั้งนี้ ซอง ฟรองซัวส์ ลิทท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีอี ฮอสพิเทค เมดิเคิล ซิสเต็มส์ กล่าวว่า โครงการนี้มีโอกาสเป็นไปได้มาก เพราะการรวมระบบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคลินิกต่าง ๆ บริษัทประกันสุขภาพเข้ามา ระบบจะอยู่บนแพล็ตฟอร์มเดียวกัน ฉะนั้นข้อมูลต่าง ๆ จะเข้ามาร่วมกันที่ศูนย์ ซึ่งในอเมริกาพยายามที่จะทำในลักษณะนี้เช่นกัน แต่ที่ไม่สำเร็จเนื่องจากโรงพยาบาลในอเมริกาก่อตั้งมานานแล้ว แต่ละโรงพยาบาลล้วนมีระบบของตัวเอง ทำให้การร่วมกันเป็นไปได้ยาก ขณะที่ประเทศไทยถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ย่อมจะง่ายกว่า

ในแง่ของสารสนเทศทางการแพทย์ โดยเฉพาะเอกซเรย์ จีอีจะใช้ระบบที่เรียกว่า DICOM ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ติดต่อกันระหว่างเครื่องเอกซเรย์ทั้งหลาย เป็นมาตรฐานที่ใช้ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันพัฒนาถึง VERSION 3 แล้ว

"สำหรับข้อมูลทางการแพทย์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาพเอกซเรย์ เราจะใช้มาตรฐานเดียวกันคือใช้ระบบอินทราเน็ต ซึ่งเป็นระบบภายใน อยู่บนแพล็ตฟอร์มเดียวกัน ซึ่งอินทราเน็ตทางการแพทย์ก็กำลังจะออกมาภายในปีนี้" ลิทท์กล่าว

ทั้งนี้จุดสำคัญ ๆ เกี่ยวกับระบบเทเลเมดิซีนของลิงค์นอกจากการใช้ภาษา DICOM แล้ว ลิงค์จะใช้จอภาพพิเศษอัตราการเปล่งแสง 60 FOOT - LAMBERTS ซึ่งทาง AMERICAN COLLEGE OF RADIOLOGY (ACR) ได้กำหนดมาตรฐานไว้ว่า อัตราการเปล่งแสงของจอภาพไม่ควรต่ำกว่า 50 FOOT-LAMBERTS มิฉะนั้นภาพจะมัว ไม่ชัดเจน ซึ่งอาจจะเป็นผลให้แพทย์ผู้รักษาวินิจฉัยผิดพลาดได้

อีกประเด็นหนึ่งที่อาจจะทำให้แพทย์วินิจฉัยผิดพลาดได้ก็คือ ภาพที่ได้รับจากการสแกนจาก CT. MRI หรือเอกซเรย์ จะมีขนาดใหญ่มาก การส่งภาพจึงจำเป็นต้องใช้เวลานาน วิธีที่จะทำให้รวดเร็วคือการบีบอัดไฟล์ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกิดการสูญเสียข้อมูล ยิ่งใช้อัตราส่วนในการบีบอัดสูงเท่าไหร่ ก็จะสูญเสียข้อมูลมากขึ้น ทั้งนี้ FOOD AND GRUGS ADMINISTRATION OF AMERICA (FDA) จึงมีข้อกำหนดห้ามบีบอัดไฟล์ในอัตราส่วนที่สูงกว่า 2:1 ซึ่งลิงค์ก็จะยึดมาตรฐานเหล่านี้เป็นหลักในการส่งภาพเช่นกัน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นรูปธรรมอยู่ในขณะนี้มีเพียงการจัดตั้งบริษัทลิงค์ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท วิสัยทัศน์อันยาวไกลของหมอบุญ ต้องรอบทพิสูจน์ของกาลเวลา ว่าจะเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ณ วันนี้การเซ็นสัญญากับ ร.พ. รามาธิบดี เพื่อให้เป็นศูนย์วิชาการอย่างเป็นทางการยังไม่เกิดขึ้น การร่วมทุนระหว่างโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อจัดตั้งศูนย์วินิจฉัยโรคก็เช่นกัน เชื่อว่าโครงการนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น แต่จะเมื่อไหร่นั้นยังคาดเดาไม่ได้แน่ชัด เพราะที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้เชื่อว่าโครงการนี้ล่าช้าอย่างแน่นอน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us