การรวมกิจการระหว่างธนาคารไทยทนุ (TDB) และบริษัทเงินทุน เอกธนกิจ (Fin1)
เพื่อเกิดเป็นธนาคารไทยทนุ ในสูตรการ MERGE แบบ A+B=C ที่มีฐานสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากเดิม
119,598 ล้านบาท เพิ่มเป็นขนาด 190,000 ล้านบาทนั้น ถือเป็นก้าวการเติบโตที่สำคัญที่สุดของธนาคารที่มีอายุครบ
48 ปีเต็มในเดือนเมษายนนี้ ดีลนี้ต้องถือว่า TDB รับประโยชน์ไปเนื้อ ๆ เพราะดีลเกิดในจังหวะที่ดี
เงื่อนไขอย่างด ี และมีข้อต่อรองที่ดี อย่างไรก็ดีหากมองในส่วนของเอกธนกิจ
ซึ่งต้องจบอายุลงในเวลาเพียง 10 ปีนั้น ก็ต้องถือเป็นประวัติศาสตร์สำคัญของวงการการเงินไทย
เป็นภาพสะท้อนของการทำธุรกิจที่เติบโตเร็ว และถึงบทอวสานในเวลาอันรวดเร็ว!!
จันทร์ที่ 3 มีนาคม 2540 ตลาดการเงินไทยตกอยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่า "วิกฤต"
เพราะข่าวร้ายต่าง ๆ รุมเร้าเข้ามาเป็นระลอก ๆ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่เรื่องการปิดฉากอาณาจักรของกลุ่ม
"เอก" ด้วยการประกาศรวมกิจการ (MERGE) ระหว่าง บง. เอกธนกิจ (Fin1)
กับธนาคารไทยทนุ (TDB) ในสูตรการรวมกิจการแบบ A+B=C
ข่าวเรื่องการรวมกิจการหลุดออกมาตีพิมพ์ตามหน้าหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้าวันจันทร์
แต่เมื่อเปิดตลาดตอนเช้า นอกจากการขึ้นเครื่องหมาย SP เพื่อห้ามการซื้อขายหุ้นไทยทนุและเอกธนกิจแล้ว
หุ้นในหมวดธนาคารพาณิชย์ และเงินทุนหลักทรัพย์ทั้งหมดก็ถูกห้ามซื้อการขายไปด้วย
เจ้าหน้าที่การตลาดต่างบอกลูกค้าของตนว่าการห้ามซื้อขายหุ้นใน 2 หมวดนี้คงจะเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงเช้าเท่านั้น
และช่วงบ่ายก็คงสามารถซื้อขายได้ ส่วนที่มีการซื้อขายไปแล้วก่อนที่จะสั่งห้ามทันนั้น
ให้ยกเลิกรายการด้วย
เป็นภาวะวิกฤติโดยแท้เมื่อย่างเข้าช่วงบ่ายของการซื้อขายหุ้นใน 2 หมวดนี้ยังคงถูกพักการซื้อขายต่อ
จนวนวันทำการวันถัดไปจึงสามารถซื้อขายได้
ความฉงนสนเท่ห ์และความหวาดวิตกเกิดขึ้นทั่วไป ในวันจันทร์นั้นมีผู้ฝากเงินแห่กันถอนตั๋วเงินฝากของตนออกจากเอกธนกิจจำนวนมาก
ซึ่งในปี 2539 ทั้งปีก็เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นประปราย แต่ยังไม่ตื่นตระหนกนัก
มีลูกค้าบริษัทหลายรายที่ถอนเงินฝากจากเอกธนกิจ ทำให้สถานการณ์ของบริษัทแย่ลงกว่าที่ควรจะเป็น
ขณะที่ข้อมูลเรื่องการรวมกิจการก็มีกระท่อนกระแท่นทำให้เกิดการคาดหมายไปในทางร้ายมากกว่าทางที่ดี
เรื่องราวของปิ่น จักกะพาส กรรมการผู้จัดการ บง. เอกธนกิจ จก. (มหาชน)
ผู้สร้างอาณาจักรกลุ่ม "เอก" ถูกนำมาเปิดเผยในทางที่ส่วนมากไม่ได้ช่วยระงับความตื่นตกใจของผู้คนสักเท่าใด
และแน่นอนว่าในบรรดาแนวคิดต่าง ๆ ที่มองการปิดตัวลงของอาณาจักรกลุ่ม "เอก"
ครั้งนี้ย่อมมีสายตาไม่เชื่อมั่นกิจการไฟแนนซ์ไทยอยู่มาก เพราะธุรกิจประเภทนี้สร้างประวัติความเสียหายแก่คนจำนวนมากมาแล้ว
และเหตุการณ์เช่นนั้นกำลังคลายตัวเผยโฉมให้เห็นใช่หรือไม่ จากการล่มสลายของกลุ่ม
"เอก" ครั้งนี้!
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2540 ปิ่นและทีมงานผู้บริหารเอกธนกิจได้จัดงานแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานะของบริษัท
ปฏิเสธข่าวลือต่าง ๆ เช่น บริษัทขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน มีภาระเพิ่มจากการใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้แปลงสภาพ
(ECD) ผู้ฝากเงินแห่มาถอนเงิน กรรมการ และพนักงานบางฝ่ายลาออก และมีการขาดทุนจากพอร์ตการลงทุนในหลักทรัพย์
ฯลฯ ซึ่งข่าวลือต่าง ๆ ที่เกิดกับเอกธนกิจในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น โบรกเกอร์ส่วนมากให้ความเห็นตรงกันว่าเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นกับกลุ่ม
"เอก" ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาหุ้นเอกธนกิจและดัชนีตลาดหลักทรัพย์
(ดูกราฟราคาหุ้น Fin1 เทียบกับดัชนี SET)
อย่างไรก็ดี ปิ่นแถลงข่าวยืนยันความมั่นคงมีเสถียรภาพของบริษัท โดยเอกธนกิจมีเงินกองทุนสูงถึง
14,000 ล้านบาท (ดูข้อมูลสำคัญทางการเงินของเอกธนกิจ) มีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง
19.9% ณ สิ้นปี 2539 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่แบงก์ชาติกำหนดไว้คือ 7.5%
ส่วนผลกระทบเรื่องพอร์ตเงินลงทุนในหลักทรัพย์มีราคาลดลงนั้น บริษัทฯ อธิบายว่าได้มีการลงบัญชีตามหลักการบัญชีที่ถูกต้องในเรื่องนี้
โดยมีการบันทึกส่วนต่างที่ราคาตลาดของเงินลงทุนระยะยาวที่มีราคาต่ำกว่าราคาทุนจำนวน
1,161 ล้านบาท (ซึ่งแสดงไว้ในงบดุล ในรายการ "ขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจากหลักทรัพย์ลงทุน")
โดยหักจากส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งสุทธิแล้วยังคงมียอดสูงถึง 14,000 ล้านบาท
เรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์บริษัทอธิบายว่ามีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้ออยู่ประมาณ
21% ของสินเชื่อทั้งหมด (ซึ่ง ณ 31 ธันวาคม 2539 บริษัทมีการปล่อยสินเชื่อทั้งหมดในรายการ
เงินให้กู้ยืม ลูกหนี้ และดอกเบี้ยค้างรับรวม 66,122 ล้านบาท) นั่นเท่ากับบริษัทมีสินเชื่อเช่าซื้ออยู่ประมาณ
14,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยอมรับว่ามีปัญหาอยู่บ้าง เพราะ "ในภาวะที่เศรษฐกิจตึงตัวต่อเนื่องเป็นเวลานาน
มีผลทำให้ความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ของลูกค้าลดลง" และบริษัทดำเนินการแก้ไขโดยปรับปรุงกระบวนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บหนี้ให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ก็มีการตั้งสำรองหนี้สูงที่ค่อนข้างเข้มงวดและสูงกว่าเกณฑ์ที่แบงก์ชาติกำหนด
เรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ มีสัดส่วนประมาณ 26% ของสินเชื่อทั้งหมด
หรือคิดเป็นมูลค่า 17,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการให้กู้ยืมแก่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ
และเป็นสินเชื่อที่มีหลักประกันคุ้มหนี้ อย่างไรก็ดี จากภาวะที่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ
จึงต้องใช้เวลาในการแก้ไขให้สู่ภาวะปกติ
เรื่องเงินกู้ต่างประเทศ บริษัทมีเงินกู้ต่างประเทศจำนวน 622 ล้านเหรียญเป็นส่วนที่กู้เพื่อปล่อยต่อจำนวน
26% หรือ 162 ล้านเหรียญ ซึ่งส่วนนี้ลูกค้าเงินกู้รับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเอง
ที่เหลืออีก 74% หรือ 460 ล้านเหรียญ เป็นส่วนที่บริษัทกู้มาใช้เอง ซึ่งมีการซื้อ
Cover เพื่อป้องกันความเสี่ยงไว้ 97% จึงไม่มีปัญหาในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ผันผวน
ในเรื่องหุ้นกู้แปลงสภาพของบริษัทครั้งที่ 1 มียอดคงเหลือเพียง 1 แสนเหรียญ
ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนปี 2546 ซึ่งมีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนชำระคืนไว้ที่
25.14 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ ส่วนครั้งที่ 2 มูลค่า 120 ล้านเหรียญ เป็นหุ้นกู้ชนิดที่ไม่สามารถไถ่ถอนได้ก่อนครบกำหนด
และจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2544 มีอัตราดอกเบี้ย 2% บริษัทมีการทำประกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินกู้จำนวนนี้ไว้เต็มจำนวน
ทำให้ต้นทุนสูงสุดหลังจากรวมคูปองแล้วไม่เกิน 1.25%
บริษัทกล่าวด้วยว่าไม่มีปัญหาเรื่องการชำระเงินกู้ต่างประเทศ เนื่องจากเป็นเงินกู้อายุปานกลางที่มีการวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว
อันที่จริงสถานะของเอกธนกิจนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อีกเป็นจำนวนมาก
แต่กระแสข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้มีความไม่เชื่อมั่นในสถานะของบริษัท
ซึ่งเมื่อถึงจุดที่ไม่ว่าบริษัทจะอธิบายอย่างไรก็ไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้อีกแล้ว
อวสานของบริษัทฯ จึงเกิดขึ้น
นอกจากนี้ประวัติสถาบันไฟแนนซ์ไทยก็มีความไม่มั่นคงเท่าธนาคารพาณิชย์ ซึ่งกรณีล่าสุดของธนาคารกรุงเทพฯ
พาณิชย์การหรือ BBC ที่แบงก์ชาติเข้าช่วยเหลือเต็มที่ก็ทำให้คนทั่วไปเห็นความเหลื่อมล้ำแตกต่างของความไม่มั่นคงชัดเจนขึ้น
นอกไปจากอดีตที่แบงก์ชาติได้ช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์มากกว่าไฟแนนซ์ โดยไม่ยอมปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ล้มละลาย
พิเศษ เสตเสถียร ที่ปรึกษากฎหมาย คณะกรรมการสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ให้ความเห็นในเรื่องนี้กับ
"ผู้จัดการรายเดือน" ต่อข้อที่ว่าเอกธนกิจเป็นภาพสะท้อนของธุรกิจไฟแนนซ์ที่เติบโตเร็วและตกต่ำเร็วว่า
"มันเป็นเรื่องที่พูดยากอยู่ไม่น้อย ผมคิดว่าสถาบันการเงินมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
Fin1 อาจจะไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้ ถ้าเศรษฐกิจของประเทศไม่เป็นอย่างนี้และต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา
Fin1 ได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลจากข่าวลือ ซึ่งสถานการณ์อย่างนี้ก็ลำบาก ผมไม่แน่ใจว่าหากเป็นแบงก์
แบงก์จะรับได้หรือไม่และจุดอ่อนของธุรกิจเงินทุนก็คือเคยมีภาพของการล้มละลายมาก่อน
ฉะนั้นความเชื่อถือของสาธารณชนต่อธุรกิจเงินทุนจึงผันผวนได้ง่าย Fin1 เป็นไฟแนนซ์ขนาดใหญ่จึงโดนเยอะ"
อย่างไรก็ตาม พิเศษมองว่าการรวมกิจการระหว่างเอกธนกิจและไทยทนุเป็นทิศทางที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคต
"เพียงแต่ตอนนี้มันมาเร็ว กรณีที่เกิดขึ้นเป็นภาพสะท้อนถึงการที่มีการบีบคั้นให้การรวมกิจการมันเกิดเร็วขึ้น
ซึ่งไม่เฉพาะ Fin1 ไทยทนุเท่านั้น คนอื่นก็จะตามมาอีก"
ตรรกะเบื้องหลังดีล
พรสนอง ตู้จินดา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์
"ผู้จัดการรายเดือน" ในรายละเอียดของดีลรวมกิจการครั้งนี้
เขากล่าวถึงตรรกะของการทำดีลนี้ว่า TDB และ Fin1 ต่างเป็นพันธมิตรในการทำธุรกิจร่วมกันมาระยะหนึ่งแล้ว
เพราะต่างฝ่ายต่างมองว่าในโลกแห่งการเปิดเสรีทางการเงินในตอนนี้ การผนึกกำลังกันในการแข่งขันย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า
แนวคิดของพรสนองก็คือ "ธนาคารไทยทนุเดิมที่ผ่านมาคุณภาพดี บุคลากรใช้ได้
แต่ผมดูว่าการแข่งขันที่เสรีมากขึ้น และความต้องการของลูกค้าที่สูงขึ้น เราจึงต้องมีขนาดและคุณภาพควบคู่กันไป
เราต้องมีศักยภาพของการทำธุรกิจ ต้องมี focus ว่าจะทำอะไร โดยสิ่งที่เราทำต้องค่อนข้างครบวงจร
เราก็เลยเลือกเอาพันธมิตรเข้ามา เพื่อเอาส่วนดีของเอกธนกิจก็คือ investment
banking มาร่วมกับส่วนดีของธนาคารไทยทนุคือ traditional banking"
สิ่งที่พรสนองอยากจะเห็นก็คือธนาคารพาณิชย์ที่สามารถทำธุรกิจ Universal
Banking หรือทำธุรกิจธนาคารได้ครบวงจรซึ่งในความหมายของพรสนองคือทำธุรกิจ
Investment Bank, Commercial Bank และ Retail Bank ซึ่งเอกธนกิจมีจุดแข็งอยู่ในธุรกิจประเภทหนึ่ง
และสองบ้าง ขณะที่ไทยทนุมีจุดแข็งในธุรกิจที่ สอง ส่วนธุรกิจที่สามเพิ่งเริ่มทำเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
การที่สถาบันทั้งสองทีฐานลูกค้าและความชำนาญที่แตกต่างกัน เมื่อมารวมกันก็จะทำให้องค์กรใหม่มีความสมบูรณ์ตามที่ผู้บริหารต้องการได้
ภาพร่างธนาคารไทยทนุใหม่
เมื่อ A+B=C ธนาคารไทยทนุใหม่จึงเป็นเสมือนองค์ที่รวมเอาของที่มีคุณภาพเข้ามาไว้ที่เดียวกัน
ซึ่งนั่นก็คือการทำธุรกรรมครบวงจรของธนาคารพาณิชย์ที่เรียกว่าเป็น Universal
Banking นั่นเอง
ด้าน Investment Bank เป็นส่วนงานที่บุคลากรของเอกธนกิจจะมีบทบาทค่อนข้างมาก
เพราะมีความชำนาญในส่วนนี้ ขณะที่ธนาคารเองก็มีเครือข่ายสาขาจำนวนเกือบ 100
แห่งทั่วประเทศเพื่อเป็นตัวกระจายสินค้าที่หน่วยงานวาณิชฯ จะผลิตออกมาสู่ตลาด
ธนาคารไทยทนุใหม่จะมีฐานลูกค้าทั้งของเอกธนกิจ และไทยทนุที่ร่วมกันมา ทั้งนี้ไทยทนุดำเนินกิจการมา
48 ปี มีฐานลูกค้าขนาดกลางจำนวนมาก ส่วนเอกธนกิจมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่มาก ตรงจุดนี้สามารถทำธุรกรรมด้านวาณิชฯ
ให้ลูกค้าได้
พรสนองเปิดเผยว่าไทยทนุจะคงฐานะและสัดส่วนการถือหุ้นใน บงล. เอกธนาไว้ในจำนวน
92% "เอกธนาจะเป็น arm ในการทำธุรกิจด้านวาณิชฯ ไม่ได้เป็นส่วนงานหนึ่งในแบงก์
ในการถือหุ้นเอกธนา 92% ทำให้เราสามารถ consolidate รายได้ของเอกธนาเข้ามาได้
และแบงก์ก็จะช่วยเอกธนาในเรื่องการจัดหาเงินทุนหรือ funding ก็เป็นการช่วยซึ่งกันและกัน"
ทั้งนี้ ไทยทนุจะได้ถือหุ้นเอกธนาจำนวน 92% ไปตลอดอายุที่เอกธนกิจได้ถือ
เพราะเอกธนาก็คือ บงล. ธนานันต์ ซึ่งเป็นทรัสต์ที่เอกธนกิจได้รับเงื่อนไขพิเศษจากแบงก์ชาติในการถือหุ้นและดูแลเรื่องการบริหารงาน
ส่วนแนวนโยบายในการทำธุรกรรมด้านวาณิชธนกิจนั้น พรสนองกล่าวว่า "การทำธุรกิจวาณิชฯ
ของเราจะทำแบบมี focus เลือกทำ จะไม่เปะปะ จะทำรายใหญ่ไปเลย หรือแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปเลยแล้วแต่ความเชี่ยวชาญที่เรามี"
ด้าน Commercial Bank ก็คือบทบาทที่ไทยทนุทำอยู่ ซึ่งการรวมกิจการครั้งนี้จะช่วยให้ธนาคารใหม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น
เพราะมีเงินกองทุนเพิ่มมากขึ้น พอร์ตสินเชื่อส่วนใหญ่ของไทยทนุเป็นพอร์ตสินเชื่อขนาดกลาง
ขณะที่ corporate banking ของเอกธนกิจมีลูกค้ารายใหญ่ พรสนองจะดำเนินการจัดขนาดสินเชื่อต่าง
ๆ กลาง-ใหญ่ แบ่งตามประเภทอุตสาหกรรมให้ได้สัดส่วนที่พอเหมาะและกระจายไปในหลายประเภท
ไม่เจาะจงหรือกระจุกตัว ส่วนบุคลากรที่จะมาบริหารสินเชื่อก็จะเป็นคนของทั้งไทยทนุและเอกธนกิจ
เขามองว่าพอร์ตตรงนี้จะใหญ่มาก โดยการรวมสินเชื่อในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น
ไม่รวมในต่างจังหวัด
ในวงเงินสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่เอกธนกิจมีประมาณ 21,500 ล้านบาท
ไทยทนุจะรับมาในวงเงินเพียง 6,000 ล้านบาทเท่านั้น โดยพิจารณาเอาสินเชื่อที่มีคุณภาพดี
คือมีหลักทรัพย์คุ้มหนี้ หรือเกินคุ้ม และมีกระแสเงินสดหมุนเวียนดี
ด้านพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มูลค่าประมาณ 14,000-16,000 ล้านบาทนั้น
เอกธนกิจจะขายออกไปก่อนที่จะมีการประเมินราคาเพื่อรวมกิจการ
ส่วนธุรกิจสุดท้ายที่แบงก์จะให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นคือ Retail Bank ซึ่งว่าไปแล้วไทยทนุก็เพิ่งจะมาทำธุรกิจด้านนี้เมื่อไม่นานมานี้
พรสนองกล่าวว่า "ในส่วนของ Fin1 นั้นเราจะดึงเฉพาะสินเชื่อเพื่อการเคหะหรือ
housing ของเขามา ส่วนเช่าซื้อฯ จะขายออกไป"
ดังนั้นในภาพของธนาคารไทยทนุใหม่นั้น จะเป็นธนาคารที่มีขนาดสินทรัพย์ประมาณ
190,000 ล้านบาท (ธนาคารไทยทนุ = 119,598 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 25389
มีสินทรัพย์รวม 102,410 ล้านบาท แต่เมื่อขายสินทรัพย์หลายอย่างออกไปแล้ว
ตัวเลขที่จะมารวมกับสินทรัพย์ของไทยทนุจะลดน้อยลง)
เงินกองทุนมีประมาณ 20,000 ล้านบาท (ไทยทนุมี 12,000 ล้านบาท ส่วนเอกธนกิจมี
14,000 ล้านบาท แต่ในส่วนของเอกธนกิจที่จะมารวมนั้นต้องมีส่วนที่ลดลงไป)
(ดูตารางข้อมูลสำคัญทางการเงินของธนาคารไทยทนุ)
ด้านสินเชื่อก็จะมีการกระจายการปล่อยสินเชื่อไปในเซกเตอร์ต่าง ๆ และกลุ่มลูกค้าระดับกลาง
ใหญ่ รวมถึงรายย่อยโดยทั่ว ซึ่งจุดนี้เป็นข้อดีให้ฐานลูกค้าของแบงก์และที่มาของรายได้ดอกเบี้ยไม่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งหรือฐานลูกค้าขนาดเดียว
พรสนองกล่าวว่า "การที่มี 3 ธุรกิจที่แข็ง ๆ ฐานรายได้จะกระจายน้อย
สถาบันจะมีโครงสร้างอย่างนี้"
ที่ผ่านมา ไฟแนนซ์บางแห่งพึ่งฐานรายได้จากตลาดหุ้นมากเกินไป พอตลาดซบเซาก็ไดรับผลกระทบหนัก
หรือบางแห่งพึ่งลูกค้ารายใหญ่มากเกินไป เมื่อมีภาวะการแข่งขันสูง ลูกค้า
corporate ก็ถูกทุกคนวิ่งเข้าหา margin ก็ลดลง หรือบางคนพึ่งลูกค้ารายย่อยคือ
retail มากเกินไปในช่วงซบเซา retail ก็ขยายไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นการมีการกระจายฐานลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่ดียิ่ง
เพราะจะมีฐานรายได้เข้ามาอย่างมั่นคงสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตามพรสนองยอมรับว่า "รายได้หลักยังอยู่ที่กิจการ commercial
bank และ middle market ยังเป็นฐานใหญ่อยู่แต่ wholesale จะเพิ่มเข้ามาจากเอกธนกิจ"
เขายังมองภาวะเศรษฐกิจจากมุมของผู้ที่มองโลกในแง่ดีว่าลูกค้าขนาดย่อยหรือการทำ
retail bank จะเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญต่อไปในอนาคต เพราะ "ประเทศไทยเมื่อโตขึ้น
ทั้งลูกค้าขนาดกลาง ขนาดที่ไม่ใหญ่เกินไปจะขยายมาก เมื่อรายได้ของประชากรพัฒนามากขึ้น
ชนชั้นกลางจะเพิ่มมากขึ้น retail products ต้องมีมากขึ้น เมืองไทยตอนนี้ต้องซบเซาแน่
ๆ เพราะเราฟุ้งเฟ้อกันมา แต่ฐานของเรายังดี ศักยภาพของเรายังดี เพียงแต่ตอนนี้เรากำลังจ่ายราคาที่เราฟุ้งเฟ้อหรือสุขสบายมากเกินไปเมื่อ
3 ปีก่อน ในเมื่อทุกอย่างมันลงตัวได้อย่างที่ ดร. อำนวย รมต. คลังพูดว่าเมื่อใดที่เราเริ่มแก้ปัญหาของเราจริง
ๆ แล้วเรามีการขยายตัวที่ยั่งยืนหรือ sustainable เมื่อนั้นตลาดระดับกลางและรายย่อยของเราจะขยายตัวค่อนข้างดี"
แม้ว่าการรวมกิจการที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะเป็นไปอย่างฉุกละหุก ขาดการเตรียมตัวที่ดีมา
แต่ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก ๆ สำหรับแบงก์ไทยทนุ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ช่วยให้ไทยทนุวิ่งถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
ธนาคารไทยทนุถ้าไม่ขยายตัวเลยคือทำกำไรตามปกติก็ยังสามารถทำกำไรได้ปีละ
1,000 กว่าล้านบาท ในปี 2539 ที่ผ่านมา ธนาคารมีกำไร 1,087 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตประมาณ
36.5% และปี 2540 นี้ธนาคารตั้งเป้าว่าจะสร้างกำไรให้ได้ 1,500-1,600 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อมีการรวมกิจการที่คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6-9 เดือนนั้น ก็เท่ากับว่าธนาคารสามารถดำเนินการได้ทะลุเป้าหมายแน่นอน
ไม่นับรวมการดำเนินธุรกิจตามปกติ
พรสนองกล่าวว่า "ที่เราคาดหมายต่าง ๆ นั้น มันทะลุเป้าไปหมดแล้ว อย่างมีคุณภาพด้วย
เพราะเราเลือกเอาเขาเข้ามา"
พอร์ตเงินลงทุนของเอกธนกิจ
เอกธนกิจมีพอร์ตเงินลงทุนอยู่ในบริษัทจำนวนมาก ในการรวมกิจการกับธนาคารไทยทนุครั้งนี้
ในเบื้องต้น ไทยทนุจะถือหุ้นในกิจการบางอย่างต่อไปแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง เพราะถือเป็นการลงทุนที่ดี
เช่น เอกธนา บล. เอกธำรง ส่วนกิจการอื่น ๆ ก็อาจจะยังถือต่อไประยะหนึ่ง จนเมื่อถึงจุดที่สามารถผ่องถ่ายออกไปได้
อาจจะเป็นการขายในภาวะที่ตลาดมีราคาดี หรือขายให้ผู้สนใจต้องการทำธุรกิจนั้น
ๆ ต่อธนาคารฯ ก็มีนโยบายที่จะทำเช่นนั้น
ในส่วนของ บล. เอกธำรงนั้น พรสนองมองว่าเป็นกิจการที่ดีมาก เป็นบริษัทชั้นนำด้านหลักทรัพย์
เป็น top broker มีการบริหารงานที่ดี มีเครือข่ายกับต่างประเทศ "ตัวนี้ผมว่าเราโชคดีที่เราได้ถือหุ้นเกือบ
21.5% เราก็จะถือตัวนี้ไนนามไทยทนุต่อไป"
สำหรับหุ้นตัวอื่น ๆ นั้น เขากล่าวว่า "ตัวอื่น ๆ ที่เอกธนกิจถืออยู่
เราก็อาจจะเป็น passive investor ถือต่อไป และในยามที่ตลาดดี ๆ เราก็อาจจะขายหุ้นนั้นออกไปก็ได้
เราจะเก็บเฉพาะของที่เกี่ยวข้องกับเราเท่านั้น อะไรที่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
อย่างเช่น เอกธำรง เราจะเก็บไว้"
เมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2538 เอกธนกิจรายงานว่ามีบริษัทในเครือที่ถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละ
10 ขึ้นไปจำนวน 21 แห่งกระจายอยู่ในหมวดต่าง ๆ ดังนี้
-เงินทุนหลักทรัพย์ ได้แก่ บงล. เอกธนา จก. (มหาชน
-โฮลดิ้งคัมปะนี ได้แก่ บ. เอเชีย เอควิตี้ โฮลดิ้ง จก.
-หลักทรัพย์ ได้แก่ บล. เอกธำรง จก. (มหาชน), บล. เอกเอเชีย จก. (มหาชน)
(ซึ่งตัวนี้ได้มีการขายให้ บล. เอกธำรงไปแล้ว), บลจ. วรรณอินเวสเมน์ จก.,
บล. เจ. เอฟ. ธนาคม จก. (มหาชน)
-หน่วยลงทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเอกธนบดี, กองทุนรวมเอกสินทวี
-วัสดุก่อสร้างและตกแต่ง ได้แก่ บ. เจ้าพระยาหินอ่อน-แกรนิต จก. (มหาชน),
บ. ไดนาสตี้เซรามิค จก. (มหาชน), บ. สยามเทคโนซิตี้ จก., บ. สระบุรีซีเมนต์
จก., บ. ไทยแกมมอน จก.
-พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บ. รังสิตพลาซ่า จก., บ. เลครัชดา จก., บ.
สิริธนสมบัติ จก., บ. แลนด์วัน จก.
-ลิสซิ่ง ได้แก่ บ. แอสวันแคปปิตอล จก.
-สื่อสาร ได้แก่ บ. สามารถเคเบิล ซิสเต็ม จก.
-อุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ บ. เอเซียเทป จก.
-พาณิชย์ ได้แก่ บ. เอสมิโด แฟชั่นส์ จก.
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีการรายงานว่าได้เข้าถือหุ้นและร่วมบริหารบริษัทในกลุ่ม
8 แห่งคือ เอกธนา, เอกธำรง, เอกเอเชีย, เจ.เอฟ.ธนาคม, เอเชียเอควิตี้ โฮลดิ้ง,
เอกโฮลดิ้ง, เอกประกันภัย และวรรณ อินเวสเมนท์ ซึ่งเอกประกันภัยนั้น บริษัทฯ
ถือหุ้นอยู่ 10% ในปี 2537 ครั้นปี 2538 ก็ไม่ปรากฏรายงานการถือหุ้นกิจการนี้
ในกรณีเช่นนี้ เมื่อสิ้นปี 2539 หรือ ณ วันที่มีการรวมกิจการกับไทยทนุ
พอร์ตการลงทุนของเอกธนกิจหรือกิจการในเครือจะมีการเปลี่ยนแปลงจากนี้อีกมาก
และกิจการที่ไทยทนุยินดีถือต่อไปก็มีเพียงเอกธนา และเอกธำรง ซึ่งเป็นเสมือน
strategic partners ส่วนวรรณอินเวสเมนท์นั้น พรสนองกล่าวว่าคงต้องพิจารณาอีกที
เพราะธนาคารฯ แม้จะมี บลจ. ในเครือคือ บลจ. ไทยเอเชีย แต่ก็มีผู้ถือหุ้นที่เป็นแบงก์อื่นร่วมอยู่ด้วยคือธนาคารเอเชีย
เรื่องนี้ พรสนองคิดว่า "รอดูก่อนได้ ต่อไปอาจมีการจัดการโครงสร้างกันใหม่ในระบบตัว
fund management company"
หลักการของพรสนองในการคัดเลือกสินทรัพย์ต่าง ๆ ของเอกธนกิจเพื่อรวมกิจการกับไทยทนุนั้น
เขามีแนวคิดอยู่ว่าจะเลือกเฉพาะธุรกิจที่มีคุณภาพ ซึ่งจะทำให้การขยายตัวของแบงก์ด้วยการรวมกิจการครั้งนี้มีความเสี่ยงเกิดขึ้นน้อยที่สุด
เขากล่าวว่า "การรวมกิจการนั้นก็คือ การเพิ่มสินเชื่อและการลงทุน
ซึ่ง 2 อย่างนี้เป็นสินทรัพย์ที่สำคัญของแบงก์ในส่วนของการลงทุนนั้น การที่ผมเอาเอกธำรงมา
21% ก็ไม่ต้องไปซื้อในตลาด ผมก็ไปดูและเลือกเอาเอกธำรง ส่วนตัวไหนจะเอาอีกก็ดึงเข้ามา
มันก็เหมือนกับออกไปชอปปิ้ง แต่มันมีประวัติข้อมูลให้เราเห็น ผมว่าการโตอย่างนี้ในภาวะตอนนี้เป็นเรื่องที่ง่ายกว่า
ผมว่าการรวมกิจการโดยเลือกสินทรัพย์ที่ดีเข้ามา จะทำให้การขยายตัวอย่างก้าวกระโดด
โดยที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด"
ด้านสินทรัพย์ที่ไทยทนุไม่ได้เอาเข้ามาในการรวมกิจการครั้งนี้ สินทรัพย์บางตัวเอกธนกิจต้องจัดการขายออกเอง
บางตัวไทยทนุอาจจะช่วยขายได้ ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้องค์กรไทยทนุใหม่ประกอบไปด้วยสินทรัพย์ที่ดี
และในประเด็นนี้พรสนองกล่าวว่า "เป็นเรื่องที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว"
ส่วนรายได้รายจ่ายที่เกิดขึ้นในระหว่างการขายสินทรัพย์ของเอกธนกิจนั้น
ถือเป็นรายได้รายจ่ายของแต่ละองค์กรก่อนการรวมกิจการ หลังจากนั้นจะมีการประเมินราคาโดยต่างฝ่ายต่างมีที่ปรึกษาในการดำเนินการ
ซึ่งแบงก์ไทยทนุแต่งตั้ง บงล. ภัทรธนกิจเป็นที่ปรึกษาในการทำดีลและมี บ.
เบเคอร์ แอนด์ แมคเคนซี เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย
วิธีการ merge ในสูตร A+B=C
ก่อนหน้ากรณีไทยทนุกับเอกธนกิจก็มีการรวมกิจการในธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนไปแล้ว
2 กรณีคือ บงล. ทิสโก้ รวมกิจการกับ บล. ไทยค้า เมื่อปลายปี 2538 และ บล.
เอกธำรงรวมกิจการกับ บงล. เอกเอเชีย เมื่อเดือนเมษายน 2539
ในกรณีของทิสโก้และไทยค้านั้นอยู่ในประเภทเดียวกับที่ไทยทนุจะรวมกับเอกธนกิจ
คือ A+B=C ซึ่งแม้จะยังใช้ชื่อ บงล. ทิสโก้อยู่ แต่ในทางบัญชีนั้นได้มีการชำระบัญชีและปิดบริษัทเดิม
แล้วตั้งบัญชีใหม่ บริษัทเพียงแต่ใช้ชื่อกิจการเดิมเท่านั้น (ดูล้อมกรอบ
1 เรื่องการรวมกิจการของ บงล. ทิสโก้+ บล. ไทยค้า)
ส่วนกรณีของเอกธำรง (S-ONE) กับเอกเอเชีย (FAS) เป็นในลักษณะ A+B=A กล่าวคือยังไม่มีการชำระบัญชีและปิดบริษัท
FAS ทั้งหมด ซึ่งทำให้บริษัท FAS ก็ไม่มีสินทรัพย์เหลือและเป็นบริษัทเปล่าที่มีแต่ใบอนุญาต
รอวันขายออกเท่านั้น (ดูตารางล้อมกรอบ 2 เรื่องการรวมกิจการของ S-ONE และ
FAS)
สำหรับกรณีไทยทนุและเอกธนกิจจะมีการชำระบัญชีและปิดบริษัททั้งสองแห่งนี้เพื่อเข้าสู่บริษัทใหม่ที่ยังคงใช้ชื่อเดิมคือธนาคารไทยทนุ
ซึ่งธนาคารไทยทนุใหม่นั้นมีการขออนุญาตจากแบงก์ชาติเรียบร้อยแล้ว
พรสนองเล่าว่า "ในการรวมกิจการครั้งนี้ ทางการจะออกใบอนุญาตใหม่ให้ซึ่งจริง
ๆ แล้วมันเป็นพิธีการ มันก็เหมือนกับตอนที่เราเปลี่ยนจาก บริษัทจำกัด เป็นบริษัทมหาชนจำกัด
ซึ่งตอนช่วงนั้นเราก็มีการคืนใบอนุญาตเก่า เอาใบอนุญาตใหม่มา มันก็มีการแปรสภาพมาหนหนึ่งแล้ว
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน"
แต่ในครั้งนี้เป็นการรวมกิจการที่ต้องรวมเอาทั้งคน สินทรัพย์ หนี้สินและภาระต่าง
ๆ ตามที่มีการตลกลงกันเข้ามาด้วย
วิธีการซื้อขาย ธนาคารไทยทนุใหม่จะออกหุ้นใหม่มาจำนวนหนึ่ง เท่ากับที่ต้องแลกให้กับไทยทนุเดิม
และเอกธนกิจจึงเท่ากับการรวมกิจการครั้งนี้ ซื้อกันด้วยหุ้น ไม่มีเงินสด
แต่สัดส่วน convertion ratio เป็นเท่าไหร่นั้นต้องรอการประเมินราคาของที่ปรึกษาฯ
ที่ปรึกษาฯ แต่ละฝ่ายจะเข้าไปดูบัญชีงบดุลและรายละเอียดต่าง ๆ ใช้เวลา
30-45 วัน หลังจากนั้นต้องมีราคาออกมาเพื่อคำนวณสัดส่วนการแลกหุ้น
เมื่อได้สัดส่วนที่ชัดเจน ต่างฝ่ายต่างเอาเข้าคณะกรรมการบริษัทเพื่อขออนุมัติยินยอม
ถ้าที่ประชุมอนุมัติ ก็สามารถดำเนินการต่อได้ หากไม่ ก็ต้องมีการต่อรองราคาจนกว่าจะเป็นที่พอใจ
หลังจากคณะกรรมการบริษัทฯ ต่างฝ่ายตกลงแล้วก็ต้องนำผลการประชุมนี้เข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นของแต่ละฝ่ายเพื่อขอการยินยอมอีกด้วย
เมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นตกลง ก็สามารถดำเนินการรวมกิจการ โดยเอาฐานลูกค้าของเอกธนกิจมาที่ไทยทนุ
เอาพนักงานเอกธนกิจมาอยู่ที่เลขที่ 393 ถนนสีลมหมด นี่คือขั้นของการ consolidate
พรสนองให้ความเห็นในประเด็นที่ว่าจะมีผู้ถือหุ้นไม่ยินยอมหรือไม่ว่า "ผมไม่แน่ใจในเรื่องนี้
แต่การที่ระดับบริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเอกธนกิจมาเซ็น MOU กับเราก็คงมีความมั่นใจพอสมควรว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่อื่น
ๆ ก็เห็นด้วย"
ในการรวมกิจการนั้น หลักการคือใช้เสียงของผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ใน 4 และส่วนที่เหลือต้องยอมรับ
อย่างไรก็ดี ในการควบกิจการของบริษัทมหาชนมีกฎหมายพิเศษอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้
พิเศษ อธิบายว่า
ผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วยมีสิทธิที่จะขอให้บริษัทซื้อหุ้นตัวเองกลับไปได้
(Appraisal right)โดยแนวคิดในเรื่องนี้คือผู้ถือหุ้นฝ่ายข้างน้อย ถ้าแพ้มติก็ควรจะได้รับสิทธิอะไรบางอย่าง
ซึ่งในบางครั้งมติที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะเช่นการไปควบกิจการกับบริษัทอื่น
ผู้ถือหุ้นบางคนไม่เห็นด้วยกฎหมายก็จะบอกว่าให้บริษัทซื้อหุ้นเขากลับไปได้
ซึ่งโดยหลักการนี้บริษัทจะเป็นผู้ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วยในราคาที่ยุติธรรม
ซึ่งแล้วแต่กฎหมายจะกำหนดว่าราคายุติธรรมคืออะไร อย่างไรก็ตามหากผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วย
ไม่มาขายหุ้นก็ถือว่าหมดสิทธิ
สำหรับกฎหมายไทยที่รับหลักการนี้มากำหนดให้มีการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วยกับมติของบริษัท
แต่ไม่ให้บริษัทเป็นผู้ซื้อ บริษัทต้องไปหาผู้อื่นมาซื้อ ซึ่งในทางปฏิบัติจริง
ๆ ก็คือผู้หุ้นใหญ่นั่นแหละที่ต้องมาซื้อหุ้นนั้นไป
ซึ่งกฎหมายข้อนี้อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคตในกรณีการรวมกิจการไทยทนุ-เอกธนกิจได้
สำหรับผู้ถือหุ้นเอกธนกิจที่ไม่เห็นด้วยในการรวมกิจการครั้งนี้
อย่างไรก็ดี มองในแง่ประโยชน์สำหรับการได้ถือหุ้นในธนาคารไทยทนุใหม่นั้น
ก็น่าจะเป็นแรงจูงใจสำหรับผู้ถือหุ้นรายย่อยของเอกธนกิจที่ได้ถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่มีอัตราการเติบโตของรายได้และผลกำไรที่ดี
แต่อาจจะไม่เป็นหุ้นที่มีข่าวและราคาที่หวือหวาสักเท่าใด
วัฒนธรรมขององค์กร จุดชี้ขาดความสำเร็จ
ประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในการรวมกิจการของธุรกิจทั่วโลกคือวัฒนธรรมขององค์กร
ซึ่งในเมืองไทยเองประเด็นนี้ก็มีความสำคัญเช่นกัน การรวมกิจการในแง่ของสินทรัพย์
บัญชีต่าง ๆ อาจทำได้เสร็จโดยง่าย แต่เรื่องบุคลากรเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน
และต้องจัดการด้วยความรอบคอบเป็นพิเศษ
โดยทั่วไป การดำเนินธุรกิจธนาคารต้องทำด้วยความรอบคอบระมัดระวังยิ่งทั้งจากการที่มีกฎหมายดูแลกำกับอย่างเข้มงวด
และการที่ธุรกิจประเภทนี้ต้องอาศัยความเชื่อมั่นไว้วางใจของสังคมและผู้คนจำนวนมาก
ทำให้ธนาคารทั่วไปต้องมีลักษณะ conservative ขณะที่ธุรกิจไฟแนนซ์ ซึ่งก็มีกฎหมายกำกับดูแล
และมีลักษณะอาศัยความเชื่อมั่นของสาธารณะสูงเช่นกัน แต่ในส่วนของกิจการวาณิชธนกิจที่เป็นประเภทหนึ่งของธุรกิจไฟแนนซ์นั้นมีวัฒนธรรมการทำงานในลักษณะ
aggessive มากซึ่งเอกธนกิจเป็นไฟแนนซ์ที่มีจุดเด่นที่งานวาณิชธนกิจมาก
ตรงจุดนี้ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าวัฒนธรรมองค์กรของเอกธนกิจกับไทยทนุเป็นคนละแบบกัน
และจะรวมกิจการได้สำเร็จหรือ
พรสนองให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า "ในสายตาของผม aggressive กับ conservative
ต้องไปด้วยกัน"
เขาขยายความว่าลักษณะ conservative ของแบงก์ก็คือ "ต้องรอบคอบระมัด
ระวังในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับบัญชีของเรา ฐานรายได้ งบดุล เรื่องเงินสำรอง
เงินกองทุน สิ่งเหล่านี้เคร่งครัดเมื่อเกี่ยวกับตัวแบงก์"
ส่วนวัฒนธรรมที่มีลักษณะกล้ารุกหรือ aggressive นั้นก็คือในการทำธุรกิจ
"ไทยทนุต้องไม่กลัวในการที่จะทำธุรกิจในเชิงรุก จะต้องเลือกว่าจะทำธุรกิจอะไรและจะต้องสู้ต้องบุก
ต้องเป็น top three หรือ 1 ใน 3 ในธุรกิจนั้น ๆ ให้ได้ ส่วนด้านวาณิชฯ นั้น
หลังจากวิเคราะห์ดูความเสี่ยงดีแล้ว เราต้องสามารถทำให้มันเด่นทำให้เป็น
player ที่ได้รับการยอมรับจากสังคมขึ้นมาให้ได้"
พรสนองดูมีความเชื่อมั่นว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้ซึ่งดีลสำเร็จลง ไทยทนุโฉมใหม่จะแจ้งเกิดได้อย่างผ่าเผย
ด้วยทีมงานผู้บริหารที่มีการผสมผสานระหว่างไทยทนุและเอกธนกิจ!