“เจ้าสัวเจริญ” ระบุอสังหาฯ ไทยปี 49 โต 10% แนะรัฐ-ผู้ประกอบการหันพัฒนาสินค้าสร้างมูลค่าเทียบชั้นฮ่องกง สิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าแค่ 6% ของฮ่องกงเท่านั้น พร้อมยืดเวลาปล่อยเช่าอสังหาจาก 30 ปี เป็น 99 ปี เพื่อเพิ่มมูลค่า ด้านแคปปิตอล แลนด์ สิงคโปร์ เล็งเปิดธุรกิจปล่อยกู้ซื้อบ้าน หลังประสบความสำเร็จในหลายประเทศ
นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ บริษัท ที.ซี.ซี. แคปปิตอล แลนด์ จำกัด เปิดเผยภายหลังเปิดตัวโครงการ เดอะ เอ็มไพร์ เพลส สาทร อย่างเป็นทางการว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2549 จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% แม้ว่าจะมีปัจจัยลบอยู่บ้างแต่ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี มีความแข็งเกร็ง ซึ่งไม่น่าห่วงว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร แต่ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงอสังหาฯ ของเราให้มีมูลค่าสูงเช่นประเทศอื่นๆ อาทิ ฮ่องกงหรือสิงคโปร์ ที่มีมูลค่าของสินทรัพย์สูง ราคาแพนเฮ้าส์เฉลี่ยที่ 2 ล้านบาท ต่อตร.ม. ในขณะที่ของไทยเพียง 1.2 แสนบาทต่อตร.ม. หรือคิดเป็น 6% ของฮ่องกงเท่านั้น นอกจากนี้รัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับการปล่อยเช่าสินทรัพย์ ซึ่งในฮ่องกง สิงค์โปร์ปล่อยเช่านานถึง 99 ปี ในขณะที่ไทยเพียง 30 ปี หากมีระยะเวลาเช่าที่ยาวมากขึ้นอาจทำให้สินค้าไทยเพิ่มมูลค่าสูงขึ้นก็เป็นได้
ด้านนายหลิว มัน เหลียง ประธานและกรรมการบริหาร บริษัท แคปปิตอล แลนด์ จำกัด กล่าวว่า มองว่าตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทยยังดีอยู่ ซึ่งนอกเหนือจากการลงทุนในคอนโดมิเนียม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ ในแบรนด์ แอทคอท ซัมเมอร์เซ็ทและซิทาดินส์ แล้วกลุ่มบริษัทยังสนใจตลาดแนวราบ ขณะนี้อยู่ระหว่างหาที่ดินที่เหมาะสมและมีศักยภาพ โดยให้ความสนใจตลาดเชียงใหม่และพัทยา ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินแล้วส่วนที่ภูเก็ตและสมุยก็เป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ แต่ยังไม่มีที่ดิน อย่างไรก็ตามการลงทุนอสังหาฯ ในไทย แคปปิตอล แลนด์ จะร่วมลงทุนไปกับ ที.ซี.ซี. แลนด์ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม กลุ่มแคปปิตอล แลนด์ ยังมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนให้บริการสินเชื่อผู้ซื้อบ้าน แต่จะดำเนินการในลักษณะ Non Bank โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในไทย และทางกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาทางกลุ่มบริษัทได้ดำเนินธุรกิจนี้ควบคู่ไปกับการลงทุนด้านอสังหาฯ ในหลายประเทศและประสบผลสำเร็จ
ทั้งนี้แคปปิตอลแลนด์ กรุ๊ป เป็นหนึ่งในบริษัทธุรกิจพัฒนาที่ดินรายใหญ่จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ในเอเซีย มีรูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย อาทิ ที่พักให้เช่า โรงแรม คอนโดมิเนียม ฯลฯ โดยแบ่งกลุ่มธุรกิจในเครือออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ CapitaLand Residential And AUSTRALAND , CapitaLand Retail And Capitamall Trust , CapitaLand Commercial And CapitaCommercial Trust, Raffles Holdings, THE ASCOTT group และ CapitaLand Financial
นายเฉิน เหลียนปัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีซี แคปปิตอลแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาประมาณ 6 โครงการ มูลค่าการลงทุน 6,000 ล้านบาท มูลค่าขาย 10,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการ รอยัล เรสซิเดนท์ เฟส 1 เป็นโครงการบ้านหรูระดับไฮ-เอนด์ ราคาเริ่มต้น 30-100 ล้านบาท บนถนนเกษตร - นวมินทร์ ตั้งอยู่บนที่ดิน 77 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของบริษัทแม่คือ ทีซีซีแลนด์ ที่มีที่ดินในบริเวณดังกล่าวกว่า 300 ไร่ ประกอบด้วยบ้านขนาด 160 ตร.ม. ขึ้นไปถึง 1 ไร่ จำนวน 79 ยูนิต เปิดขายในเดือนมกราคม
2.โครงการต่อเนื่องจาก รอยัล เรสซิเดนท์ แต่จะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวระดับกลาง ราคา 9-10 ล้านบาท เปิดขายในไตรมาส 3 นอกจากนี้ภายในโครงการดังกล่าว บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาเป็นมิกโปรดักส์ ที่รวบรวมทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน วิลเลจเซ็นเตอร์ ดิสเคาส์มอลล์ ชอปปิ้งเซ็นเตอร์ ออโต้มอลล์ โดยจะเป็นการดึงนักลงทุนเข้ามาพัฒนา คาดว่าจะใช้เวลาในการพัฒนาไม่ต่ำกว่า 5 ปี
3.โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ต่อในเดือนมีนาคม ซึ่งโครงการดังกล่าวจะอยู่บนพื้นที่ 5 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 24 เดิมเป็นที่ดินของ "ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล" ที่ใช้สร้าง "บ้านหนังไทย" ของเสกสรร ชัยเจริญ หรือหนุ่มเสก โดยซื้อมาในราคา 2.5 แสนบาทต่อตร.ม. ซึ่งโครงการนี้มีจำนวนห้องพัก 300-350 ยูนิต ระดับราคาอยู่ที่ 8.5 หมื่นบาทต่อตร.ม.
4.ในช่วงปลายไตรมาส 2 บริษัทจะเปิดตัวเฟสแรกของโครงการคอนโดมิเนียม ระดับกลาง เฟสแรก ที่พัฒนาบนพื้นที่ 4 ไร่ จากทั้งหมด 200 ไร่ ในสนามกอล์ฟนอร์ทปาร์ค มูลค่าโครงการในเฟสแรกประมาณ 1.5-2 พันล้านบาท ระดับราคาประมาณ 6-7 หมื่นบาทต่อตร.ม. หลังจากนั้นวางแผนที่จะพัฒนาโครงการอาคารสำนักงาน เพื่อรองรับกับศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะขณะนี้อยู่ระหว่างวางแผน
5. โครงการบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินหากเจรจาสำเร็จ จะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวระดับกลางราคา 9-10 ล้านบาท
6.โครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ที่จ.เชียงใหม่ บนเนื้อ 70 ไร่ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่ พัทยา ขณะนี้อยู่ระหว่างวางแผน
นายเฉิน กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการปีละไม่ต่ำกว่า 4 โครงการ มูลค่า 10,000-15,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ให้แก่บริษัทปีละ 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่เหมาะสมและจะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท อย่างไรก็ตามบริษัทยังให้ความสนใจตลาดที่พัทยาและเชียงใหม่มากกว่าภูเก็ต เนื่องจากภูเก็ตได้มีการพัฒนาไปล่วงหน้าแล้ว หากเข้าไปตอนนี้จะเป็นการเรียนรู้ตลาดมากกว่า นอกจากนี้กลุ่มบริษัทแม้ว่าจะมีที่ดินสะสมอยู่ที่ภูเก็ต แต่ไม่ได้อยู่ในทำเลที่เหมาะสมในการพัฒนา ดังนั้นจึงเชื่อว่าภายใน 3-5 ยังไม่เข้าไปทำตลาดในภูเก็ต นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มทุนจาก 3,800 ล้านบาท เป็น 6,000-8,000 ล้านบาท ในต้นปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ที.ซี.ซี. แคปปิตอล แลนด์ ยังเชื่อว่า แม้ว่าตลาดจะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ แต่จากภาพรวมของเศรษฐกิจที่ดี กำลังการผลิตอยู่ในอัตราที่สูง จะส่งผลให้อสังหาฯ มีอัตราการเติบโตที่ระดับ 10% ได้ แต่ปัจจัยที่น่าเป็นห่วงคือ ความไม่มั่นคงของการเมือง สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบันตลาดระดับกลาง หรือบ้านราคา 3-5 ล้านบาทจะมีอัตราการเติบโตที่สูง ซึ่งในส่วนของบริษัทเองก็มีความสนใจในตลาดนี้ แต่ต้องการให้แบรนด์สินค้า และการพัฒนาสินค้าของบริษัทมีความแข็งแกร่งจึงจะลงไปพัฒนา ซึ่งคาดว่าในปี 2550-2551 จะสามารถพัฒนาสินค้าในตลาดระดับดังกล่าวได้
นอกจากนี้ ที.ซี.ซี. แคปปิตอล แลนด์ ยังดำเนินการบริหารโครงการ และรีโนเวสสินทรัพย์ของกลุ่มที.ซี.ซี. แลนด์ โดยปัจจุบันมีโครงการที่บริหารอยู่ 14 โครงการ มูลค่า 35,000 ล้านบาท อาทิ อาคาร แอทธินี พลาซ่า, อาคารรัชดา ทาวน์เวอร์, สำนักงานใหญ่ บริษัทไทย เบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน), โรงแรมเมอร์เดียน กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ และโรงแรมบันยันทรี สมุย เป็นต้น
|