"เดอะมอลล์ กรุ๊ป" ชี้เทรนด์ศูนย์การค้าปรับทิศ ชูสินค้าแฟชั่นพรีเมียม-กลางแข่งเดือด เขี่ยตลาดล่างลงดิสเคานต์สโตร์แทน แนะซัปพลายเออร์ไทย ปรับตัวหนักเร่งสร้างแบรนด์ไลเซนเซอร์ รับมือสินค้าหรูเปิดศึกสงคราม ราคา "พารากอน" จ้วงตลาดผู้ชายขาขึ้นโตพรวด 10% ต่อปี พัฒนาแบรนด์รองเท้า และเครื่องหนังชายเอง พร้อมผุดแผนกเครื่องแต่งกายชายพื้นที่ 3 หมื่น ตร.ม. ปีหน้าตั้งเป้า 4 แผนกชายกวาดรายได้ 5,300 ล้านบาท โต 10%
นายสฤษดิพงษ์ รัตนาพต ผู้อำนวยการ ใหญ่สายบริหารสินค้า เอ1 บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่มีศูนย์การค้าระดับไฮเอนด์เกิดขึ้นเป็นจำนวน มาก ทำให้มีแนวโน้มว่าสินค้าแฟชั่นกลุ่มเสื้อผ้าและเครื่องประดับทั้งหญิงและชายภายในศูนย์การค้า จะเหลือแต่เซกเมนต์ระดับบนและกลางเท่านั้น ส่วนระดับล่างจะ ลงไปสู้กันที่ช่องทางดิสเคานต์สโตร์เป็นหลัก โดยแนวโน้มดังกล่าวทำให้ซัปพลายเออร์ระดับพรีเมียมและกลางจะต้องมีการปรับตัว เพื่อรองรับกับการแข่งขันจากคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกันที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น
ในเบื้องต้นคาดว่าปีหน้านี้ ทิศทางการแข่งขันสินค้าระดับพรีเมียม จะเน้นการลดราคาหรือมีการทำโปรโมชันมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อรองรับการแข่งขันตลาดระดับกลาง และกระตุ้นกำลังซื้อเพื่อไม่ให้สินค้าล้น สต๊อกเพราะซัปพลายมีมากกว่าดีมานด์ ขณะที่การปรับตัวของตลาดสินค้าแฟชั่นระดับกลาง ซัปพลายเออร์จะต้องมีการบริหารงบการตลาดไว้อย่างดี ว่าจะต้องเสริมความแข็งแกร่งอย่างไรบ้างเพื่อสู้กับตลาดระดับบน นอกจากนี้ซัปพลายเออร์ไทย จะต้องหันมาเน้นสร้างแบรนด์ใหม่ หรือผลักดันให้สินค้าติดอันดับอินเตอร์แบรนด์ หรือการเป็นไลเซนเซอร์ เป็นต้น
นายสฤษดิพงษ์ กล่าวต่อถึง แนวโน้ม ของสินค้าแฟชั่นผู้ชายว่า มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง จะเห็นได้ในส่วนของเครื่องแต่งกาย ผู้ชายที่ปัจจุบันมีมูลค่า 10,000 ล้านบาทเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 10% ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเดอะ มอลล์เติบโต 30% โดยตัวเลขในปีที่ผ่านมาผู้ชายซื้อเสื้อผ้า 6 ครั้งต่อปี เฉลี่ย 3-5 ตัวต่อครั้ง หรือมียอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 40% ส่วนแนวโน้มปีหน้าคาดว่าเครื่องสำอางและเครื่องประดับผู้ชายจะเป็นกลุ่มที่มาแรง
สำหรับแผนการทำตลาดจากนี้ เดอะ มอลล์กรุ๊ปหันมาให้ความสำคัญกับแผนกเครื่องแต่งกาย เครื่องหนัง เครื่องกีฬาและรองเท้าสำหรับผู้ชายมากขึ้น โดยล่าสุดได้เปิด ตัวแผนกรองเท้าและเครื่องหนังชาย ที่ศูนย์ การค้าสยามพารากอน บริเวณชั้น 2 บน พื้นที่ 30,000 ตร.ม. ซึ่งถือเป็นแคปปิตอล ออฟ แฟชั่น ของสินค้าผู้ชาย หรือแหล่งรวมสินค้า แฟชั่นสำหรับผู้ชายหลากหลายชนิด ทั้งเครื่องแต่งกาย ยีนส์ เครื่องประดับผู้ชาย กีฬา ตลอดจนแผนกรองเท้าและเครื่องหนังชาย
ทั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของเดอะมอลล์ ที่จะพัฒนาแบรนด์ของตนเองในแผนกรองเท้าและเครื่องหนังชาย ประกอบด้วย 3 รูปแบบ คือ รูปแบบแรกเป็นแบรนด์เฉพาะของสยามพารากอน โดยจะนำเข้าสินค้าแบรนด์ดังที่ยังไม่เคยจำหน่ายในประเทศไทย อาทิ แบรนด์ VON DUTCH จากประเทศสหรัฐอเมริกา, LAXAL จากประเทศญี่ปุ่น และ SABELT จากประเทศอิตาลี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบสำหรับนักธุรกิจ และแบบลำลอง ส่วนรูปแบบสามเจาะตลาดตั้งแต่ลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน
โดยช่วงเปิดตัว 9 วันแรกวางงบการตลาดไว้ที่ 14 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังได้วางแผนการตลาดอีโมชันนัลมาร์เกตติ้งเป็นหลัก เราคาดว่าจะมียอดขายของแผนกรองเท้าและเครื่องหนังเดือนละ 10 ล้านบาท หรือยอดขายปีแรก 120 ล้านบาท และตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดสินค้าแฟชั่นผู้ชายของเดอะมอลล์กรุ๊ปจะเพิ่มจาก 18% เป็น 23% ในปีหน้านี้ จากมูลค่าตลาดสินค้าแฟชั่นผู้ชาย 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากสยามพารากอน 4% หรือ 400 ล้านบาท
สำหรับในปีหน้านี้ บริษัทตั้งเป้าหมายจะ มียอดขายจากแผนกสินค้าผู้ชายที่ประกอบด้วย เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องหนังและกีฬา ประมาณ 5,300 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาโต 8% โดยเป็นรายได้จาก สยามพารากอน 1,200 ล้านบาท เดอะ มอลล์ และดิ เอ็มโพเรียม 4,100 ล้านบาท
|