|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ผู้จัดการกองทุนต่างชาติประเมินหุ้นไทยเด่นในแง่ของราคาซึ่งถูกกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค ชี้สาเหตุหลักมาจากปัญหาการเมืองและความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ ระบุสัดส่วนการกู้เงินต่างประเทศของรัฐบาลไทยที่สูงถือเป็นเรื่องดีสะท้อนถึงการลงทุนที่มีอย่างต่อเนื่อง
นายแดเนียล เจ ฟาส รองประธานกรรมการ Loomis Sayles & Company, L.P. ในฐานะผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้กล่าวในงานสัมมนา "Economic & Market Outlook" ซึ่งจัดโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด ถึงภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังจะกลับมาเป็นปัญหาของสหรัฐฯอีกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศส่วนใหญ่ มีสัดส่วนกำลังการผลิตส่วนเกินเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่งผลให้มีโอกาสที่ผู้ผลิตจะต้องปรับขึ้นราคาสินค้า
ทั้งนี้ ในช่วงของการเริ่มต้นที่อัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวขึ้นในขณะนี้จะไม่ส่งผลในแง่ลบมากนัก เพราะยังอยู่ในอัตราที่ต่ำอยู่ซึ่งอาจจะมีผลกระทบในระยะต่อไปมากกว่า นายแดเนียลกล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวยังไม่ส่งผลทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้มากนัก แต่จะส่งผลในการพิจารณาครั้งต่อไปมากกว่า ซึ่งจะมีส่วนทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงนี้ จะไม่ใช่การปรับขึ้นขาเดียวอย่างเช่นช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะขึ้นๆ ลงๆ เป็นช่วงๆ อย่างไรก็ตาม การที่กำลังการผลิตของบริษัทเอกชนที่เริ่มเต็มแล้ว มีแนวโน้มที่จะเข้ามาแย่งเงินรัฐบาลใช้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อไปได้ โดยคาดว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าดอกเบี้ยเฟดจะขยับตัวไปถึงจุดสูงสุดอยู่ที่ 4.5-4.75%
นอกจากนี้ ปัจจุบันสหรัฐฯกำลังประสบกับปัญหาการขาดดุล การค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ ซึ่งทำให้ระยะต่อไปสหรัฐฯจะต้องพึ่งประเทศแถบเอเชียมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มประเทศเหล่านี้เป็นผู้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.255 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ
นายแดเนียลกล่าวต่อถึง มุมมองการลงทุนในประเทศไทยว่า การเติบโตของประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศจีน แต่ในขณะที่ไทยยัง มีปัญหาภายในประเทศ ทั้งเรื่องการเมือง ความไม่สงบในชายแดน ภาคใต้
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและสัดส่วนการกู้เงินต่างประเทศของรัฐบาลไทย จะสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจัยถือเป็นเรื่องดี และ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไทยมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าไม่มีการกู้ยืม ก็แสดงว่าไม่มีการลงทุนเพิ่ม สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น
นายแดเนียลมองในฐานะ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ว่า ตลาดหุ้นไทยยังถือว่าถูกมาก ซึ่งปัจจัยหลักก็มาจากปัญหาเรื่องการเมืองและปัญหาภาคใต้ แต่ปัจจัยดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นไทยเด่นขึ้นมากว่าตลาดอื่นๆในภูมิภาคบวกกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉลี่ยก็มีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่น
ด้านนางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด กล่าวว่า ในปีหน้ายังให้น้ำหนักกับการลงทุนในหุ้นอยู่ เพราะยังมีจุดเด่นที่ P/E Ratioของตลาดหุ้นไทยยังถือว่าถูกมากในระดับ 8.5 เท่าในปัจจุบัน ซึ่งผู้ลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้น จะต้องให้ความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศมากกว่าปัจจัยอื่นๆ เช่นเรื่องของการเมือง
อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหุ้นขยายตัวได้ 20% น่าจะเป็นระดับที่เหมาะสมสำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน (อาร์/พี) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เชื่อว่าน่าจะถึงจุดสูงสุดในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าโดยคาดว่าจะขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.25-4.5% แต่คง ต้องพิจารณาถึงปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ ด้วย
|
|
 |
|
|