เมื่อก่อนนี้ตอนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจนั้น ปัจจัยพื้นฐานของประเทศยังดี
และเป้าหมายเรื่องการส่งออกก็ดี ตอนนั้นบังกลาเทศยังไม่ขึ้นมา จีนตอนใต้ยังไม่ขึ้นมาแข่งกับเรา
เวียดนามยังรบกันอยู่ เขมรยังฆ่ากันอยู่ พม่าไม่คิดเปิดประเทศ มันผิดกัน
ตอนนี้เรามีปัญหาด้านปัจจัยพื้นฐานก็คือโครงการส่งออกสินค้าประเภทต่าง
ๆ ของประเทศไม่ได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ แล้วเราไปแอบดีใจว่าเราขาย
MICROCHIP ได้เยอะ แต่ว่า MICROCHIP เป็นสินค้าที่มีราคาถูก MICROCHIP และ
TEXTILE ล้วนเป็นสินค้าที่มีความผันผวนเรื่องราคาสูงมาก ทั้งนี้เพราะว่าเราไม่ได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง
เพราะฉะนั้นพื้นฐานปัญหาทางเศรษฐกิจในตอนนี้กับสมัยก่อนเป็นคนละเรื่อง
พื้นฐานของปัญหามันมาจาก PROJECTION ของนักลงทุนและผู้ให้กู้เงิน เขาคาดหมายหรือทำนายไปในอนาคตว่าเศรษฐกิจไทยจะมีปัญหาตรงไหน
เขาทำนายว่าเศรษฐกิจไทยจะมีปัญหาเรื่องการส่งออก เขาก็เลยเริ่มขยับตัว ทั้งผู้ให้กู้และผู้ลงทุน
ผลของการขยับก็คือสิ่งที่เราเห็นอยู่ หากเขาคิดว่าปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่
สมประสงค์ก็ไม่มีปัญหา ตลาดทุนและตลาดการลงทุนโดยตรงหรือ DIRECT INVESTMENT
ก็เฟื่องฟู การลงทุนโดยตรงจะเฟื่องฟูได้ก็ต่อเมื่อมันทำนาย PROSPECT OF INCOME
แล้วก็มีเงินทุนเข้ามา เหมือนกับคนเล่นตลาดหุ้น ก็จะลงทุนในหุ้น BLUE CHIPS
ของเมืองไทย คนเล่นกันที่การ PROJECT PROSPECT OF INCOME จะเป็นแบบ CAPITAL
GAIN QUICKLY หรืออะไรก็ตามแต่ มันต้องมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ คือ จะเล่นกระดาษ
มันต้องมี FUNDAMENTAL รองรับกระดาษ กระดาษลอยอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ คือ FUNDAMENTAL
มันเหมือนพัดลม ที่คอยเป่ากระดาษให้ลอย พอลมหยุด กระดาษก็ร่วง
ผมถึงบอกว่า ปัญหาเศรษฐกิจครั้งนี้หนักกว่าครั้งอื่น ๆ ปัญหาตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเศรษฐกิจควรจะมีเสถียรภาพ
(STABILITY) แต่ควรจะกดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GROWTH ลง ทำไมผมกล้าพูดว่าไม่ใช่
รู้ไหม เพราะว่าทุกอย่างที่ทำมาคือต้องการให้มี STABILITY กับลด GROWTH ลง
แต่ทำไมแก้ไม่ได้ ทำไม ความเชื่อมั่นต่อค่าเงินบาท ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยยังลงอยู่
ไม่ว่ารัฐบาลจะพูดอะไร รัฐมนตรีคลังจะพูดอะไร ผู้ว่าแบงก์ชาติจะพูดอะไร ไม่มีใครเชื่อ!
ทำไมเป็นเช่นนั้น คุณต้องถามตัวเองว่าทำไม? นี่คือ DREAM TEAM นี่คือ THE
BEST ที่ไทยสามารถผลิตขึ้นมาได้ คุณต้องตั้งคำถาม อย่าเซ่อ งงไปหมดโดยไม่รู้!
เราต้องถามคำถามว่าเพราะอะไร?
มันก็เหมือนกับระบบเศรษฐกิจ คุณต้องคิดถึงกระบวนการสร้างความมั่งคั่งขั้นต่อไปของเศรษฐกิจไทยคือกระบวนการอะไร
รัฐบาลต้องพูดให้ชัดเจนและมี FOCUS และเมื่อเขา (นักลงทุน) เชื่อ เขาก็จะ
PROJECT POSSIBLE INCOME ของเขาต่อ RISK ที่เขาจะมาลงในเมืองไทย มันก็จะมา
REFLEX ใน DIRECT INVESTMENT และการลงทุนโดยตรงกับตลาดหุ้น ใช่ใหม?
ตราบจนถึงเวลานี้ ถามว่ารัฐบาลได้มี FOCUS หรือมีการอรรถาธิบายว่า กระบวนการสร้างความมั่งคั่งขั้นต่อไปของสังคมไทยนั้นจะเป็นอย่างไร
หรือไม่ คือหากรัฐบาล COPY ดร. มหาธีร์นี่ทำหรือยัง COPY เขาหรือเปล่า น่าอาย
ผมต้องพูดคำนี้
คุณเข้าใจไหม มันคนละเรื่องกันเลยนะ
คุณสามารถใช้สำนักงบประมาณให้เตรียมข้อมูลเรื่องการตัดงบประมาณ แล้วนำมาเสนอให้
รมต. คลังเซ็นอนุมัติได้เลย หรืออย่างบริษัทเงินทุน มีทุนน้อยก็เรียกผู้บริหารมาพบ
หรือจะแอบกินข้าวกลางวันด้วยกัน แล้วสั่งไปให้เพิ่มทุน เหมือนอย่างที่ ดร.
ป๋วยทำ ก็สามารถทำได้เลย
กฎเขามีอยู่ว่าทำก่อนพูด ไม่ใช่พูดก่อนทำ หากคุณต้องการแก้ปัญหาจริง ๆ
คุณต้องจัดการแก้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาพูดไม่ใช่พูดก่อนทำ หากคุณพูดก่อนทำนั้น
จะทำได้ต่อเมื่อคุณต้องการขู่ใครบางคนให้ทำในสิ่งที่คุณต้องการให้ทำเท่านั้น
เมื่อคุณแก้ปัญหาในฐานะที่คุณเป็นแบงก์ชาติ คุณต้องทำให้เสร็จก่อนที่จะมีการประกาศออกไป
เพราะคำสั่งของแบงก์ชาตินั้นเป็นกฎเหล็ก
มันเหมือนการลดค่าเงินบาทหรือ DEVALUATION คุณไม่ต้องบอกใคร เมื่อทำไปแล้วจึงพูด
ซึ่งมันก็จะไม่มีการเก็งกำไร ไม่มีความไร้เสถียรภาพ คุณดูซิว่าเมื่อวานนี้
(จันทร์วิกฤติเมื่อ 3 มีนาคม 2540) รัฐบาลพูดว่า "จะ" ทั้งนั้น
กลางหน้าจอโทรทัศน์ก็แสดงว่ายังไม่ได้ทำใช่ไหม ดังนั้นบริษัทไฟแนนซ์ก็ต้องช่วยตัวเอง
ก็ต้องบอกว่าไม่จริงทั้งนั้น ไม่เป็นไร แต่วันนี้มันพังแล้ว
ดังนั้น กรุณาช่วยกันทำความเข้าใจใน 2 จุดคือ 1. PROCEDURAL PROBLEM และ
2. FUNDAMENTAL PROBLEM ซึ่งไม่เข้าใจ และใช้วิธีการบริหารแบบนักบัญชีมาบริหารประเทศไม่ได้
นักบัญชีเป็นผู้ที่มาเสริมการบริหาร เสริมกระบวนการการสร้างความมั่งคั่งของสังคมขั้นต่อไป
คำว่าการสร้างความมั่งคั่งไม่ใช่การเติบโตหรือ GROWTH นะ การสร้างความมั่งคั่งนี่หมายความว่าเตรียมการให้เกิดการผลิตอย่างมี
FOCUS เตรียมการให้เกิดการลงทุนและการผลิตอย่างมีคุณภาพ สามารถทำให้คุณภาพนั้นแก้ปัญหาค่าจ้างแรงงานซึ่งแพงขึ้นในเมืองไทย
แพงกว่าประเทศรอบข้างให้ได้ นี่คือการเตรียมกระบวนการที่จะ FOCUS OF WEALTH
CREATION PROCESS ไม่ใช่ GROWTH เป็นการเตรียมการ
หรือในเรื่องการตลาด เราต้องการให้นักลงทุนไป ACQUIRE MARKETING EXPERTY
COMPANY หรือไป JOINT VENTURE ได้เป็นส่วนร่วมของรายได้ของบริษัทในเมืองนอกด้วย
มีบริษัทเล็ก ๆ เยอะแยะไปหมดที่ EQUITY ต่ำ แต่ SKILL สูง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องผลิต
เราต้องถามตัวเราเองด้วยว่าเราผลิตเพื่อขายใคร ใครเป็นคนซื้อสินค้าไทย เพราะว่าของเรามันแพงขั้นแล้วบังกลาเทศก็มาแย่งไป
เราต้องขายพวก NEW RISING MIDDLE CLASS OF ASIA นี่คือกลุ่มลูกค้าของเรา
และเราก็ต้องให้ INNCENTIVE ต่าง ๆ นานา เพื่อให้ผู้ผลิตเจาะเข้าสู่ตลาดนี้ได้
ส่วนการแก้ปัญหาอื่น ๆ นั้น ยกตัวอย่าง เรื่องอสังหาริมทรัพย์ บริษัทไฟแนนซ์มีปัญหาเพราะว่ามีการปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาก
ดังนั้นคุณจะแก้ปัญหาของธุรกิจอสังหาฯ นี้อย่างไร? ลองดูว่า คนประมาณ 6-7
ล้านคน แย่งกันซื้อคอนโดมิเนียม แฟลตและบ้านขายราคาถูก ทำไมคนไทยไม่แย่งกันซื้อ
ทั้งที่ก็ไม่มีบ้านอยู่อาศัยกันทั้งประเทศ เพราะว่าคนไทยไม่มีสตางค์ เมื่อไม่มีสตางค์
รัฐบาลทำอย่างไรจะให้คนมีกำลังซื้อขึ้นมาได้ ก็คือให้เขาผ่อน 30ปี ดอกเบี้ย
8.9%-6.9% ทุกคนก็เอาแน่นอน แล้วยังทำ SECOND MORTGAGE ได้อีก จะเอาไหม ก็เอาทั้งนั้น
มันก็เป็นการแก้ปัญหา PROPERTY GLUT ได้สัก 70% เป็นอย่างน้อย
วิธีการ ก็ต้องทำ SECURITIZED ตัว FIXED ASSET เหล่านี้ ทำเป็น BOND หรือ
SECURITIZED ออกมา ให้พวก FUND เมืองนอกถือ แต่มีการโต้แย้งว่า พวกฝรั่งมาถือ
ก็กลายเป็นเจ้าของที่ดินไทย หากเกิด DEFAULT ฝรั่งก็ยึดบ้านน่ะซิ แต่จริง
ๆ แล้วเขายึดบ้านผ่านทรัสต์ ถามว่าฝรั่งจะมาขุดที่ดินแถวบางลำพูไปไว้ที่แมนฮัตตันหรือ
เช่นเดียวกันกับที่อเมริกันยอมให้ญี่ปุ่นซื้อร็อคกี้ เฟลเลอร์เซนเตอร์ ใจกลางแมนฮัตตัน
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ CAPITALISM ของอเมริกา แล้วคุณคิดว่าญี่ปุ่นจะขุดที่ดินที่เกาะแมนฮัตตันนั้นไปไว้ที่เกาะโอกินาวาหรือ?
มันเป็นเรื่องตลกมาก
หากคุณทำ SECURITAZATION ฝรั่งต่าง ๆ จะวิ่งกันมาซื้อบอนด์เหล่านี้ พวกเขารอหาทางที่จะเข้ามายังตลาดบอนด์เมืองไทย
แต่คุณต้องทำออกมาแบบ EMERGENCY BILL เข้า ครม. พรุ่งนี้ แล้วอีกวันหนึ่งประกาศขอ
EMERGENCY PARLIAMENT MEETING ผ่าน BILL นี้เลย
ก็เลยไม่ต้องเข้าไปช่วยบริษัทไฟแนนซ์ เพราะว่าสินเชื่อของพวกเขามันก็ไปอยู่ในบอนด์
เอาไปขายได้ อสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นก็สามารถไปขายได้ในราคาที่กำไรไม่มาก
กำไรพอประมาณแต่ต้องผ่อน 30 ปี ซึ่งคนที่เอาเงินมาให้ผ่อนก็คือฝรั่ง และรัฐบาลไม่ต้องควักกระเป๋า
การพูดเรื่อง SECURITIZATION ที่ผ่านมานั้น พูดแต่เรื่องเทคนิค สำหรับพวก
YUPPIES คุยกันเองที่ รร. รีเจนท์ ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนเลย
คราวนี้ไม่ได้แล้ว และที่อีกฝ่ายก็เอาไปพูดว่าคราวนี้ฝรั่งมาเป็นเจ้าของที่ดินไทย
นี่เลิกพูดได้ หากฝรั่งไม่เป็นเจ้าของที่ดินไทยนี่ พวกอสังหาฯ จะเจ๊งกันเป็นแถบเลย
รัฐบาลที่ทำอยู่เป็นแค่นักบัญชีแก้ตัวเลขไปเรื่อย ๆ ดูซิ อยู่กันมา 2-3
เดือนแล้ว มีใครเชื่อกันบ้าง ทุกครั้งที่ทำอะไร หุ้นตก ทุกครั้งที่แก้ปัญหา
หุ้นตก ทุกครั้งที่แก้ปัญหา เงินบาทถูก ATTACK คุณต้องมาอธิบายให้ได้ หากผมเป็นนายกฯ
ชวลิต ผมต้องถาม รมต. คลังแล้วว่าคุณทำอะไรกันอยู่?
ถึงแม้จะเปลี่ยนตัว รมต. คลัง แต่ประเด็นคือ POLICY FROM THE PRIME MINISTER
MUST BE CLEAR AND FOCUS. THE PROCESS OF WEALTH CREATION MUST BE CLEAR
ไม่ใช่ GROWTH
YOU MUST PREPARE FOR THE NEXT STEP OF THE THAI ECONOMY.
เพราะคุณไม่ได้ตั้งปัญหาเช่นนี้ ทำให้ทุกครั้งที่แก้ปัญหาหุ้นถึงตกไง เพราะคนเล่นหุ้นก็คือคนที่
PROJECT คือ เดา หรือ ทำนายอนาคตใช่ไหม คนลงทุนก็คือคนเดาใช่ไหม
ไม่อย่างนั้นคุณจะเอาคำอธิบายอะไรมาใช้ในทุกครั้งที่แก้ปัญหา
ทางออกก็คือสิ่งที่ผมพูดนี่ไง!!
คุณว่ามาเลเซียตอนเงินริงกิตถูก ATTACK นั้นเขาทำอะไร เมื่อปีที่แล้วนี่เอง
นายกฯ มหาธีร์มี FOCUS ชัดเจนว่า MALAYSIA IS GOING TO THE PROCESS OF
WEALTH CREATION ในเมื่อค่าเงินริงกิตถูกเก็งกำไร รัฐบาลมาเลเซียก็เอาเงินสำรองสู้กับนักเก็งกำไรตอบกลับเช่นกัน
แต่ก็มีความชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งรัฐบาลมหาธีร์ก็ชนะ
เพราะเขาชัด
DAIWA จึงบอกว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้ดี แต่จริง ๆ แล้วก็คือจะ RESURRECT จะเอาเศรษฐกิจไทยกลับมาใหม่ได้อย่างไร?
นี่คือปัญหาที่รัฐบาลต้องเผชิญ ก็คือปัญหาเกี่ยวกับ THE PROCESS OF WEALTH
CREATION IN THAILAND. WHAT IS IT? TELL ME!
ประเด็นนี้ นักวิเคราะห์จาก DAIWA ก็ตั้งคำถามเดียวกัน
แต่ในเมืองไทยไม่มีใครพูดประเด็นนี้ เพราะบอกกันแต่ว่าเรื่อง LONG TERM
แต่ไหนลองบอกมาซิว่า SHORT TERM จะทำอย่างไร ก็ทำอย่างที่ ดร. อำนวยทำ แล้วจะให้
INVESTOR PROJECT อย่างไร? เรากำลังเล่นกับ PROJECTION ของนักลงทุน
ผมจะบอกให้อย่าไปสนใจเรื่อง RATING เราต้องสนใจตัวเราก่อน ต้องสนใจว่า
WHICH WAY WE'RE GOING ต้อง FOCUS FOCUS FOCUS แล้ว RATING มันตามมาเอง
ผู้บริหารเศรษฐกิจของประเทศเวลานี้ทำตัวเป็น COMMERCIAL BANKER กับ INTERNAL
AUDIT BUREAU กันไปหมดแล้ว หรือเป็นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินกันไปหมด อีกฝ่ายก็เป็น
COMMERCIAL BANKER กันหมด
ผู้นำต้องมี SENSE OF DIRECTION ดูอย่าง ดร. มหาธีร์ ใครเป็นคนนำ ไม่ใช่
รมต. คลังเลย
อย่างไรก็ตาม ผมยังมองว่าในช่วงเวลานี้เป็นการปรับตัวหรือ ADJUSTMENT เท่านั้น
คือ ADJUSTMENT OF PRODUCTION PROFILE เพราะว่าปัญหาทางเศรษฐกิจเวลานี้เริ่มมาจากกระบวนการผลิตของเรา
เพราะสินค้าของไทยตอนนี้อยู่ไม่ได้แล้ว คนอื่นเขาไล่เราหมด จีน แขกปากีฯ
ขาย ARTIFICIAL FIBRE TEXTILE แข่งกับไทย ไทยแพ้ไปแล้ว
ปัญหาคือ 1. HIGH TECHNOLOGY ของเรานั้นมันแย่มาก ในแง่ที่ว่ามันเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าสูงมาก
2. และมี PRICE SENSITIVITY RANGE สูงมาก และ 3. สังคมไทยยังไม่ได้ผลิตบุคลากรที่ดีพอที่จะ
SUSTAIN ในฐานะคนงาน หัวหน้างาน และในฐานะผู้เติมปัญญาต่อ หมายความว่าระบบการศึกษาไม่ได้ลงทุนมา
ถึงเปลี่ยนระบบการศึกษาไทยวันนี้ก็ต้องรอผลผลิตอีก 15-18 ปี ดังนั้นลืมไปได้เลย
ความจริงหรือ REALITY คือเราต้องมีกระบวนการที่เรียกว่า FORCED SKILL TRANSFER
บังคับให้ TRANSFER SKILL แต่จะทำอย่างไร?
ลองพิจารณาง่าย ๆ ว่า ทำไมเอาสาวนามาทำซีเกท ฮาร์ดดิสก์ได้ คนเหล่านี้ไม่ได้จบการศึกษาวิศวกรรมเลย
อันนี้แหละที่เรียกว่า FORCED SKILL TRANSFER ซึ่งเราต้องทำในกลุ่มสินค้าที่มา
PRICE SENSITIVITY น้อย
เรื่องที่ภาคเอกชนกลุ่มสิ่งทอไทยกำลังปรับตัวนั้น ก็อาจจะพอถูกทิศทาง แต่ประเด็นสำคัญคือคนอื่นเขาก็ทำได้เหมือนกัน
ดังนั้นมันก็ต้องมาดูที่ DESIGN INTO PRODUCTION และ PRODUCTION TO MARKETING
ในสิงคโปร์นั้น บริษัท จิออร์จิโอ อาร์มานี่ ได้อนุญาตให้ผู้ประกอบการสาวชาวสิงคโปร์คนหนึ่งเข้ามาเป็น
JOINT PARTNER ที่ไปผลิตเสื้อผ้า SERIES หนึ่งภายใต้ยี่ห้อหรือ LABEL GIORGIO
ARMANI เพื่อสรีระของคนเอเชีย และผู้ประกอบการคนนี้ก็ไปตั้งร้านตามที่ต่าง
ๆ ในเอเชีย ดูซิว่าสิงคโปร์มีโรงงานทอผ้าอะไรไหม มันไม่ใช่ประเด็น
เรื่องของเรื่องคือ SKILL + ENTREPRENEUR + CASH นี่ต่างหากที่จะทำให้แข่งขันได้
แล้วอย่าง GIORDANO ของ จิมมี่ ไหล จีนกวางตุ้งทำไมประสบความสำเร็จได้
เพราะสูตรดังกล่าวนี่แหละ
จีนแต้จิ๋วไทยมาเป็นแบงเกอร์กันหมด หาคนเป็น ENTREPRENEUR ไม่ได้ ไปเรียน
MBA กันหมด
นี่แหละที่เรียกว่า PAINFUL ADJUSTMENT ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดี สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเมืองไทยเวลานี้เป็นเรื่องที่ดีมาก
ๆ เลย ถ้าไม่เกิดขึ้น เขาเรียกมันว่าล้มทั้งยืนเฉย ๆ โดยไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเลย
และมันก็เป็น RISK ชนิดหนึ่งของชีวิต!