Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน8 ธันวาคม 2548
ตปท.เทกฯอสังหาฯไทย เน้นพัฒนาเร็วทำกำไรดี             
 


   
search resources

Real Estate




ทุนนอกแห่ลงทุนในอสังหาฯไทย โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ กรุงเทพฯ, ภูเก็ต, สมุย, พัทยา โดยเฉพาะกองทุน ลาซาลล์ แมนเนจเม้นท์ ขนเงินเข้าลงทุนแล้ว 2,000-5,000 ล้านบาท ด้านโจนส์ แลง ลาซาลล์ เผยแนวโน้มผู้ประกอบการขนสินทรัพย์ขายให้กองทุนฯ หวังระดมทุนพัฒนาโปรเจกต์ต่อ จับตาคอนโดฯราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมาแรงแซงโค้ง

แหล่งข่าวจากบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้กลุ่มทุนจากต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากอเมริกา ที่ปัจจุบันมีเข้ามาแล้ว 2 กองทุนใหญ่ คือกองทุน ลาซาลล์ แมนเนจเม้นท์ ที่นำเงินทุนเข้ามาลงทุน ประมาณ 2,000-5,000 ล้านบาท และอีกกองทุนยังไม่ยอมเปิดเผยชื่อ ซึ่งจะนำเงินเข้ามามากกว่ากลุ่มแรก โดยทั้ง 2 กลุ่มจะเน้นการลงทุนที่มีผลตอบแทนทันทีและสามารถเคลื่อนทุนได้เร็ว โดยจะเน้นซื้อกิจการที่มีอยู่แล้ว หรือหากจะลงทุนบนที่ดินเปล่าแล้วพัฒนาเพื่อให้เช่า เช่น การพัฒนาโครงการวิลล่าเพื่อขายชาวต่างประเทศ พื้นที่ที่นักลงทุนเหล่านี้ให้ความสนใจคือ ภูเก็ต, กรุงเทพฯ, พัทยา, เกาะสมุย และเชียงใหม่เป็นหลัก

นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลงฯ กล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจะมีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดอสังหาฯไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาทิ ในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น หมายถึงกำลังซื้อที่ลดลง ส่วน ผู้พัฒนาโครงการที่อาศัยเงินกู้จากธนาคาร ดอกเบี้ย ที่เพิ่มขึ้นหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเชื่อว่าในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการซื้อบ้านเฉลี่ย ปรับเพิ่มขึ้นจาก 5.9% เป็น 6.59% และมีการประมาณการว่าจะปรับขึ้นไปอีก 1-1.5% ในปี 2549

"ภาวะที่มีความท้าทายมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการด้านอสังหาฯ มีนวัตกรรมทางความคิดมากขึ้น อาทิ แทนที่จะกู้เงินทุนจากธนาคาร ผู้ประกอบการบางรายอาจระดมเงินทุนสำหรับการเปิด โครงการใหม่ ด้วยการปล่อยขายสินทรัพย์บางส่วนออกไปให้แก่นักลงทุนหรือกองทุนรวมอสังหาริม ทรัพย์ ในขณะที่บางราย อาจระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือการออกหุ้นกู้ เพื่อหาต้นทุนการเงินที่ต่ำที่สุด" นางสุพินท์กล่าว

ด้าน นายดิลก สุนทรเวช หัวหน้าฝ่ายบริการบริหารโครงการก่อสร้างและออกแบบตกแต่ง กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ต้นทุนค่าก่อสร้าง ซึ่งหมายรวมถึงค่าวัสดุก่อสร้างและแรงงาน ได้ปรับตัวขึ้นอย่าง มาก โดยปรับขึ้นประมาณ 25% จากปี 2543 ถึง 2548 โดยปี 2547 เป็นปีที่ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้นสูงสุด คือ ประมาณ 7-8% สำหรับในปีนี้ ต้นทุนค่าก่อสร้างได้ปรับขึ้นไปอีก 5-6% ซึ่งปรับขึ้นน้อยกว่าปี 2547 แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นไปมากจากช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากราคาวัสดุก่อสร้างบางรายการ ซึ่งได้แก่เหล็กและปูนซีเมนต์มีการปรับราคาลดลง

ปัจจุบัน ต้นทุนการก่อสร้างมีการปรับตัวคงที่ เนื่องจากราคาเหล็ก และปูนซีเมนต์ลดลง อีกทั้งโครงการขนาดใหญ่ คือ โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จแล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการเหล่านี้ ก็รอดูการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าของภาครัฐในต้นปีหน้าอยู่ว่า จะมีการเสนอราคาอย่างไร ซึ่งในส่วนตัวแล้วมองว่า หากมีการเปิดประมูลในต้นปีหน้านั้น ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละรายอยากได้งานเพื่อนำไปเป็นแบล็กล็อก ดังนั้น จึงน่าจะเสนอราคาไม่สูง มากนัก แต่หากพ้นไตรมาส 2 ไปแล้วเชื่อว่าราคาคงจะแพงขึ้น เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยและราคาน้ำมันจะสูงขึ้นอีก ศูนย์การค้าเข้าสู่ยุครีโนเวสรับการแข่งขัน

สำหรับตลาดอสังหาฯประเภทศูนย์การค้า นับเป็นตลาดที่มีผลประกอบการที่ดีที่สุดในปีนี้ อุปสงค์ และอุปทานมีความสมดุล โดยในปัจจุบัน กรุงเทพฯ มีพื้นที่ศูนย์การค้ารวมทั้งสิ้นประมาณ 4.1 ล้านตารางเมตร และมีอัตราการว่างของพื้นที่เช่าเฉลี่ยที่ประมาณ 14% ทั้งนี้ ศูนย์การค้าชั้นดีในทำเลกลางเมือง มีอัตราการว่างของพื้นที่ไม่ถึง 10% อัตราค่าเช่า เฉลี่ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 8 ปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้ ค่าเช่าเฉลี่ยสำหรับพื้นที่บริเวณ ชั้นล่างของศูนย์การค้าชั้นดีในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน มีระดับอยู่ที่ประมาณ 1,780 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในปี 2541 ถึง 50%

ในปีนี้ ศูนย์การค้าที่สร้างเสร็จใหม่จะมีปริมาณ พื้นที่รวมกันทั้งสิ้น 231,000 ตร.ม ในจำนวนนี้ รวมถึงโครงการสยาม พารากอน ซึ่งมีกำหนด จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ส่วนปี 2549 จะมีศูนย์การค้าสร้างเสร็จเพิ่มอีกรวมพื้นที่ 300,000 ตร.ม รวมถึงส่วนขยายของโครงการเซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา

ตลาดอาคารสำนักงาน ปัจจุบัน ทั่วกรุงเทพฯ มีพื้นที่อาคารสำนักงานที่สร้างเสร็จแล้วรวมทั้งสิ้น 7.08 ล้านตารางเมตร ถึงแม้จะมีปริมาณพื้นที่ว่างเหลือ เช่าประมาณ 13% แต่ถือว่าตลาดมีปริมาณพื้นที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในขณะที่อาคารเกรดเอในเขตศูนย์กลางธุรกิจ (ซีบีดี) มีพื้นที่ว่างเหลือเช่าเฉลี่ยไม่ถึง 10% อัตราการว่างของพื้นที่สำนักงานปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยมีระดับสูงสุดที่ 32.2% ในปี 2542 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการขยายตัวสูงกว่าปริมาณพื้นที่ใหม่ ในขณะที่มีปริมาณ พื้นที่สำนักงานสร้างใหม่เพิ่มขึ้นระหว่างปี 2543 ถึง 2549 เฉลี่ยปีละ 35,000 ตร.ม มีการเช่าพื้นที่สำนักงานเพิ่มเฉลี่ยสูงถึงปีละประมาณ 213,000 ในช่วงเดียวกัน

อัตราการว่างของพื้นที่เช่าที่ลดลง ส่งผลให้อัตรค่าเช่ารายเดือนเฉลี่ยปรับเพิ่มสูงขึ้นมากจากที่เคยมีระดับต่ำสุดที่ตร.ม. ละ 255 บาทในปี 2544 มาอยู่ที่ 355 บาทต่อตร.ม.ในปัจจุบัน เพิ่มสูงขึ้นถึง 40% อาทิ อาคารสำนักงานเกรดเอในเขตซีบีดี ค่าเช่าเฉลี่ยที่สูงกว่า 620 บาทต่อตร.ม. สูงขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ระดับ 376 บาทต่อตร.ม ในปี 2544 หรือ 63%

ตลาดเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ปัจจุบัน กรุงเทพฯ ชั้นในมีเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ คิดเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 8,700 ยูนิต มีอัตราการเข้าใช้บริการห้องพักเฉลี่ยสูงกว่า 80% ส่วนอาคารเกรดเอมีอัตราการเข้าใช้ห้องพักอยู่ที่ประมาณ 85-90% อัตราค่าเช่าเฉลี่ยมีระดับสูงถึง 1,000 บาทต่อตร.ม ต่อเดือน เทียบกับจุดต่ำสุดที่ตร.ม.ละ 900 บาทต่อเดือนในปี 2540 โดยในปี 49 จะมีเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดจะแล้วเสร็จกว่า 1,600 ยูนิต หรือประมาณ 20% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด

ส่วนตลาดคอนโดมิเนียม ปัจจุบัน เขตศูนย์กลางธุรกิจและย่านสุขุมวิทของกรุงเทพฯ มีคอนโดฯที่สร้างเสร็จแล้วรวม 47,500 ยูนิต และมีอีกประมาณ 12,000 ยูนิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งยังมีความต้องการอย่างต่อ ซึ่งแนวโน้มการพัฒนาจะหันลงมาสู่ตลาดระดับกลาง-ล่าง ต่ำกว่า 3 ล้านบาทมากขึ้น และคาดว่า ในปี 2549 ยอดจำนวน ยูนิตที่จะเปิดตัวใหม่เข้ามาในตลาดชะลอตัวลงไปอีก และราคาขายจะมีระดับคงตัว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us