Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2540
"กลุ่มไอซีไอหันสนใจธุรกิจสี เตรียมลุยซื้อกิจการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก"             
 


   
search resources

ICI
สุภัทร ตันสถิติกร




กลุ่มไอซีไอ ยักษ์ใหญ่วงการเคมีภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันหันมาสนใจธุรกิจสีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไอซีไอสำนักงานใหญ่ในอังกฤษระบุแล้วว่า ธุรกิจสีจัดเป็น 1 ในธุรกิจหลักของกลุ่มไอซีไอทั่วโลกในขณะนี้ พร้อมทั้งมอบนโยายไล่ซื้อบริษัทสีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจาก 7% ให้เป็น 20-25% ทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว

เหตุที่ไอซีไอหันมาสนใจธุรกิจสีมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจสีมีวัฏจักรขึ้นลงค่อนข้างน้อย ไม่เหมือนกับธุรกิจเคมีภัณฑ์ธุรกิจดั้งเดิม ซึ่งมีความผันผวนสูง เวลาขึ้นก็ขึ้นมาก ครั้นเวลาตกก็ตกสุดขีด ทั้งยังต้องลงทุนสูง คืนทุนล่าช้าใช้เวลา 7-10 ปี ขณะที่ธุรกิจสีลงทุนน้อยกว่ากันมากแต่คืนทุนได้ภายใน 3-5 ปี

ดังนั้นเมื่อกลางปีที่ผ่านมา กลุ่มไอซีไอจึงได้เข้าซื้อกิจการของ "บังยีเพ้นต์" กลุ่มบริษัทสีขนาดใหญ่ในอเมริกาใต้ มีขายใน 4 ประเทศ ส่งผลให้ไอซีไอมียอดขายมากเป็นอันดับหนึ่งในอเมริกาใต้และใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากเป็นบริษัทสีแห่งแรกที่มียอดขายเกินกว่า 1,000 ล้านลิตรต่อปี รวมเป็นมูลค่ากว่า 87,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีการซื้อธุรกิจสีในประเทศอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมทั้งการลงทุนสร้างโรงงานผลิตสีแห่งที่ 2 ในมณฑลเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท กำลังการผลิต 30 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินงานได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้

ปัจจุบันไอซีไอมีโรงงานผลิตสีอยู่แล้วที่กวางโจว ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อนโดยมีกำลังการผลิต 15 ล้านลิตร เหตุที่ไอซีไอสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในเซี่ยงไฮ้เพราะเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตในประเทศจีน ซึ่งมีพลเมืองกว่า 1,000 ล้านคน

สำหรับประเทศไทย สุภัทร ตันสถิติกร ประธานและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอซีไอ 1996 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า "โรงงานที่แจ้งวัฒนะของเราตอนนี้มีกำลังการผลิตประมาณ 35 ลิตรต่อปี และเรากำลังมีการขยายกำลังการผลิตขึ้นไปอีก ภายในปีนี้น่าจะขึ้นไปถึง 50-55 ล้านลิตร"

อย่างไรก็ตามธุรกิจสีในประเทศไทยทุกวันนี้ การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับภาวะความซบเซาทางเศรษฐกิจทำให้บ่อยครั้งที่มีปัญหาในการติดตามหนี้

ธุรกิจสีไอซีไอในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ สีทาอาคาร สีพ่นรถยนต์ สีเคลือบกระป๋อง และสีอุตสาหกรรม

สุภัทรคาดว่าในส่วนของสีทาอาคาร ซึ่งทำรายได้ประมาณ 80% ของยอดขายสีทั้งหมดของบริษัทนั้น ปีนี้แนวโน้มการเติบโตของตลาดจะลดลง

"สีทาบ้านปีที่แล้วมูลค่าตลาดรวม 9,000 ล้านบาท แต่ปีนี้คาดว่าจะเหลือเพียง 8,500 ล้านบาท ปีที่ผ่านมามันโตลดลงแต่ปีนี้จะโตเป็นลบ" สุภัทรกล่าว

ทั้งนี้เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่ซบเซาติดต่อกันหลายปี ปัจจุบันอาคารที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ หรือบ้านเดี่ยว ล้วนแล้วแต่ล้นตลาดทั้งสิ้น คาดกันว่าทุกวันนี้อาคารที่อยู่อาศัยซึ่งสร้างแล้วขายไม่ได้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีอยู่ประมาณ 2.5-3 แสนหน่วย หรือรวมกันทั่วประเทศจะมีประมาณ 5-6 แสนหน่วย เมื่อนำไปรวมกับของเดิมที่ซื้อเก็งกำไรกันไว้ทั่วประเทศอีกประมาณ 5 แสนหน่วย ก็จะทำให้มีบ้านที่ยังไม่มีผู้อยู่อาศัยเหลืออยู่ในตลาดประมาณ 1 ล้านหน่วย

1 ล้านหน่วยนี้ถ้ารัฐบาลช่วยให้ข้ราชการหรือผู้มีรายได้น้อยได้มีโอกาสซื้อบ้านได้สะดวกขึ้นด้วยการจัดหาเงินให้มาผ่อน ก็ต้องใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดประมาณ 3-5 ปีถึงจะหมดโดยที่ไม่มีการสร้างบ้านใหม่เลย

ส่วนอาคารสำนักงานที่สร้างกันในกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้น คาดกันว่าขณะนี้มีเนื้อที่สำนักงานเกินความต้องการสูงมากขนาดที่ว่าหากไม่มีการสร้างอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้นเลยภายใน 5 ปีก็ยังขายไม่หมด

เมื่อสภาพการณ์เป็นเช่นนี้แล้วตลาดสีทาบ้านก็ย่อมจะชะลอตัวลงตามไปด้วย อย่างไรก็ดีสุภัทรเชื่อว่าบริษัทจะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ก็จะยังคงสร้างบ้านกันอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่สร้างน้อยลงและหันไปเร่งปิดโครงการเดิมๆ ที่ยังขายไม่หมดให้มากขึ้น

"รับรองว่าบริษัทเหล่านี้หยุดสร้างที่อยู่อาศัยขายไม่ได้หรอก เขาก็ยังจะสร้างกันอยู่ ซึ่งก็ดีถ้าเขาไม่สร้างกันผมก็เจ๊งแน่" สุภัทรกล่าวติดตลก

แม้ภาวะตลาดรวมของสีทาอาคารจะลดลงแต่ไอซีไอ 1996 (ประเทศไทย) ก็ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 30% ในปีนี้ ซึ่งนั่นก็คือสัญญาณของการแข่งขันที่จะดุเดือดขึ้นอีก โดยทุกค่ายเตรียมกลยุทธ์การตลาดไว้รับคมกันหลายกระบวนท่า ถึงขนาดว่าไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลใดๆ ได้ ท่านประธานสุภัทรพูดได้คำเดียวว่า "บอกไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวคู่แข่งรู้" ก็คงต้องรอดูกันเอาเอง

ปัจจุบันสีทีโอเอมีส่วนแบ่งตลาดในไทยมากเป็นอันดับหนึ่งคือ 30% ตามด้วยไอซีไอ 25% โจตัน 8% นิปปอนเพ้นท์ 7% และยี่ห้ออื่นๆ รวมกันอีก 30%

ใบรับรองระบบคุณภาพตามมาตรฐานมอก./ISO 9001 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรมเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาทำให้สุภัทรมีความมั่นใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นบริษัทผู้ผลิตสีรายแรกของไทยที่ได้รับใบรับรองดังกล่าว

อย่างไรก็ตามธุรกิจของบริษัทมิได้มีแต่เพียงเท่านั้น เหตุผลหนึ่งที่ทำให้บริษัท สีไอซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท ไอซีไอ 1996 (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อปลายปีที่ผ่านมาก็เพื่อให้เป็นบริษัทตัวแทนของกลุ่มไอซีไออย่างแท้จริง ซึ่งทำธุรกิจมากกว่าสี กล่าวคือบริษัทนี้จะดำเนินธุรกิจใน 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจสี ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจโพลียูรีเทน

โดยธุรกิจเคมีภัณฑ์ จะเป็นการนำเข้าสินค้าของไอซีไอที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสี หมึก ฟิล์ม พลาสติก อะคริลิกเรซิน โมโนเมอร์และอื่นๆ เพื่อมาจัดจำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศ

ส่วนธุรกิจโพลียูรีเทน จะเน้นจำหน่ายเคมีภัณฑ์โพลียูรีเทนที่ใช้ในโรงงานต่างๆ เช่น โรงงานผลิตตู้เย็น ฉนวนกันความร้อน ชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น โดยมีโรงงานอยู่ที่บางปู

สุภัทร ตั้งเป้ายอดขายของบริษัทในปีนี้ไว้ประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่สำหรับยอดขายของบริษัทในเครือไอซีไอทั้งหมดในประเทศไทย 4 บริษัท คือ บริษัท ไอซีไอ 1996 (ประเทศไทย) บริษัทไอซีไอ เอเชียติ๊กเคมีภัณฑ์ บริษัทใช้ อินเตอร์เนชั่นแนล และบมจ. ไทยโพลีอะคริลิค นั้นคาดว่าปีนี่จะอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท

"เหตุที่ตั้งเป้าไว้สูงถึง 20,000 ล้านบาทนั้น เราจะโตได้ 3 ทางคือการขยายตัวของธุรกิจที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน การมองหาบริษัทที่จะเข้าซื้อเพื่อควบกิจการซึ่งจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นทันที และการลงทุนเพิ่ม ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้" สุภัทรอธิบาย

ปัจจุบันเฉพาะยอดขายของบริษัทไอซีไอ 1996 (ประเทศไทย) เพียงบริษัทเดียวก็มียอดขายกว่า 40% ของบริษัทเครือไอซีไอทั้งหมดในไทยอยู่แล้ว ฉะนั้นหนทางที่เป็นไปได้ที่จะเพิ่มยอดขายทั้งกลุ่มให้สูงถึง 20,000 ล้านบาทคงไม่พ้นการเข้าซื้อบริษัทที่ดำเนินการอยู่แล้วเพิ่มควบกิจการเป็นแน่ และจะต้องเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มียอดขายหลายพันล้านบาทด้วย แต่จะเป็นบริษัทใดนั้นยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาตัดสินใจ เพราะหากพลาดพลั้งไปก็อาจจะเจ๊งได้เช่นกัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us