สำหรับผู้หญิงคนนี้ หากจะแยกงานกับชีวิตออกจากกันคงเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ง่ายนัก
เพราะชีวิตของเธอคืองาน และงานก็คือชีวิต ในช่วงจังหวะแห่งวัย 40 ปี ชีวิตเธอได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเธอตกลงใจสร้างครอบครัวของตนเอง พร้อม ๆ กับตัดสินใจก้าวออกจากระบบราชการที่เธอผูกพันมากกว่า
20 ปี เข้าสู่ภาคเอกชน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอตั้งปณิธานแน่วแน่จะไม่เข้ามาข้องแวะ
ทว่าการตัดสินใจครั้งนั้น เธอได้พิสูจน์แล้วว่า เธอคิดไม่ผิด เพราะทุกวันนี้
เธอมีชีวิตที่มีงานรุมล้อม พร้อมกับพันธะทางใจที่ต้องดูแลด้วยหัวใจที่เปี่ยมพลัง
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน สัจธรรมที่อาจจะเกิดขึ้นกับทุก ๆ ชีวิตในทุกขณะจิต
ซึ่ง ปนัดดา เผือกขาว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยเรทติ้ง อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส
ก็เป็นผู้หนึ่งที่หนีไม่พ้นวัฎจักรนี้ ความเปลี่ยนแปลงเข้าจู่โจมชีวิตเธอที่สงบและราบเรียนในเวลาอันรวดเร็วแบบตั้งรับแทบไม่ทัน
แต่ด้วยความที่เป็นคนมีสติตลอดเวลา เธอใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ตัดสินใจลิขิตชีวิตใหม่ให้กับตัวเอง
แม้จะขัดกับปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกก็ตาม
ย้อนหลังกลับไป 20 ปีก่อน บัณฑิตสาวจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี วิชาเอกการบัญชีจากรั้วแม่โดม
ด้วยความที่คลุกคลีและแวดล้อมด้วยบุคคลในวงราชการ จึงทำให้เธอฝังใจว่าจะต้องเดินตามรอยทางที่ได้ปูไว้นั้น
และความเชื่อนั้นได้ตอกย้ำหนักแน่นขึ้นเมื่อเธอได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งระหว่างที่รอสอบเข้าราชการ
หรือเพราะฟ้าลิขิตให้ชีวิตเธอต้องเดินทางนั้น จึงทำให้ประสบการณ์ที่ได้รับจากที่นั่นไม่ประทับใจพอที่จะดึงดูดเธอไว้ได้
ในที่สุด ความฝันก็เป็นจริง เมื่อเธอสอบเข้ารับราชการในสังกัดกรมบัญชีกลาง
กระทรวงการคลัง ตรงตามสายที่เธอร่ำเรียนได้สมใจ และชีวิตข้าราชการของเธอก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ณ บัดนั้นเป็นต้นมา ชีวิตในช่วงนั้นเปรียบเสมือนทะเลที่ไร้คลื่นเป็นช่วงแห่งการเรียนรู้
และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ตามสไตล์ของผู้หญิงทำงานอย่างเธอ ยิ่งเมือ่ได้ทำงานในสายงานที่ตรงใจการทุ่มเทให้กับงานยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ด้วยความที่เป็นคนใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา เธอจึงตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศเมื่อถึงเวลาอันสมควร
โดยสอบชิงทุนของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งมือชั้นนี้ไม่มีพลาดอย่างแน่นอน
เธอสอบได้ทุนของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง สังกัดเดิมของเธออย่างไม่คาดฝัน
ครั้งนี้เธอไปร่ำเรียนด้าน Business Administration ที่สหรัฐอเมริกา เพราะมั่นใจว่าตนเองจะต้องรับใช้ประชาชนจนถึงเกษียณอายุราชการอย่างแน่นอน
หลังจากได้เป็นมหาบัณฑิตเธอก็กลับมาใช้ทุนที่ต้นสังกัดเดิม ชีวิตเธอกลับสู่วงจรของความเป็น
Working Woman อีกครั้ง
"จากที่ได้สัมผัสมามีความรู้สึกว่า เนื้องานของราชการดี โอกาสในการเทรนนิ่งเยี่ยม
เป็นงานที่ท้าทายความสามารถมาก มีความหมาย และมีโอกาสที่จะเรียนรู้เยอะ"
ความในใจตอนหนึ่งที่เธอถอดให้ "ผู้จัดการรายเดือน" ฟังถึงเหตุผลที่ทำให้เธอรักและทุ่มเทให้กับงาน
หลังจากนั้นไม่นาน โอกาสก็มาเยือนเธออีกครั้งเมื่อได้รับทุน Fullbright
เพื่อไป fresh up ตัวเองในด้าน Public Affairs ที่สหรัฐอเมริกา ระหว่างนั้น
ด้วยความสนใจส่วนตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเมื่อมีโอกาสไปใช้ชีวิตในแหล่งตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดของโลก
เธอจึงได้ขอเข้าไปฝึกงานด้านวิจัยที่ Dow Jones เป็นเวลา 4 เดือน โดยที่ไม่มีลางสังหรณ์มาก่อนว่า
ชีวิตของเธอจะต้องพลิกผันเข้ามาสู่วงการตลาดทุนดังเช่นทุกวันนี้
ณ ช่วงนั้นเอง เธอได้เปลี่ยนแปลงชีวิตอีกด้านหนึ่งของเธอด้วยการตัดสินใจแต่งงานกับ
ดร.วิศวกรหนุ่ม สัญชาติเดียวกันที่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานถึง 14 ปี
ซึ่งตอนนั้นเธออายุได้ 37 ปี
"พี่เป็นคนแต่งงานช้า เพราะมัวแต่ทำงาน แต่อันที่จริงพี่ตั้งใจว่าจะแต่งงานตอนอายุ
40 จุดที่ทำให้พี่ตัดสินใจเพราะต้องการมีลูก ทำให้รอ 40 ไม่ไหว"
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เธอกรำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหลังกลับจากต่างประเทศ
รู้แต่เพียงว่ามีงานท้าทายที่ยังรอให้เธอปะลองฝีมืออยู่อีกมากมาย จนเวลาอายุราชการเธอล่วงเลยถึง
20 ปี จุดหักเหในชีวิตของเธอก็เริ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย "ในช่วงแรกนั้น
พี่ต้องทำงานดีลกับชาวต่างประเทศมาโดยตลอด จึงไม่เคยเกิดการเปรียบเทียบอะไรกัน
แต่มาตอนหลังพี่ต้องมาดีลกับบริษัทเอกชนของไทย เพราะที่ กรมฯ ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาไทยมากขึ้น
ซึ่งเจ้าหน้าที่บริษัทที่ส่งมาเป็นรุ่นน้อย หากเทียบความรู้ในเรื่องงานแล้ว
ยังไม่มากนัก พี่ต้องช่วยเสริมเขาแต่เมื่อถามถึงเงินเดือนปรากฏว่ามากกว่าพี่เกือบ
10 เท่าความรู้สึกแตกต่างจึงเริ่มเกิดขึ้นมาในใจ" ปนัดดา เล่าย้อนถึงจุดเริ่มของความท้อแท้ภายในใจ
ช่องห่างของแรงจูงใจระหว่างภาครัฐและเอกชนที่กว้างเช่นนี้เป็นจุดที่สะกิดใจเธอ
และเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นของความเหนื่อยหน่ายใจในเวลาต่อมา เมื่อเธอพบว่า
Incentive โดยรวมของระบบราชการไม่น่าจูงใจนักในยามที่ครอบครัวเริ่มขยายจาก
2 กลายเป็น 4 ดังนั้น เธอจึงเริ่มกังวลถึงอนาคตภายภาคหน้า และด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานระดับหัวหน้า
เมื่อมีแขกมาเยือนในฐานะเจ้าของบ้านก็จะต้องต้อนรับให้สมควรทั้ง ๆ ที่ไม่มีงบประมาณในด้านนี้เหมือนเอกชน
จึงจำเป็นต้องควักกระเป๋าตัวเองที่มีไม่มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน
เมื่อเธอได้รับมอบหมายให้ไปประชุม หรือสัมมนายังต่างประเทศ ด้วยความเป็นคนกระตือรือร้นเธอจะต้องทำการบ้านก่อนไปทุกครั้ง
ซึ่งเธอก็ต้องควักเนื้อตัวเองอีกเช่นเคย เพราะงบประมาณและฐานข้อมูลของราชการไม่มีให้เธอได้ค้นคว้าตามใจปรารถนา
ประจวบเหมาะกับช่วงเวลานั้น ระบบราชการถูกแทรกแซงจากการเมืองมีกระแสที่รุนแรงมาก
ซึ่งตำแหน่งของเธอขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการส่วนมาตรฐาน และค่าตอบแทนก็ใกล้ถึงจุดที่จะต้องเข้าไปสัมผัสกับการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงกลับมาทบทวนอนาคตราชการของเธออย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง
และทางออกที่เธอค้นพบขณะนั้นก็คือ เกษียณก่อนอายุ
"ตอนที่ลาออกพี่อยู่ซี 8 ถ้าขึ้นซี 9 ก็เป็นรองอธิบดี ซึ่งตรงนี้ต้องสัมผัสกับการเมือง
ยอมรับว่าเหนื่อยใจจริง ๆ แต่พี่ก็ไม่เคยคิดจะเข้ามาทำงานภาคเอกชน เพียงแต่คิดว่าต้อง
early retirement เมื่อมีอายุราชการครบ 25 ปี แล้วก็จะออกมาทำงานส่วนตัว
เป็นที่ปรึกษาอิสระ ทำงานที่คิดว่าอยากจะทำและรับเป็น job ไป เมื่อตัดสินใจได้ก็เข้าไปเรียนนายว่าจะขอทุ่มเทงานอีก
5 ปี ซึ่งตอนนั้นพี่คิดว่าต้องเลือกทางของเราแล้ว เพราะสิ่งแวดล้อมแบบนี้
พี่ไม่มีแรงจูงใจ และพี่ก็เป็นคนไม่ยึดติดกับตำแหน่งด้วย"
แต่เหมือนฟ้าจะลิขิตให้ชีวิตราชการของเธอต้องจบอยู่แค่นั้น ความอ่อนล้าทางใจของเธอเริ่มรุนแรงขึ้นทุกขณะ
เพราะมีตัวอย่างการโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน
และแล้วอยู่มาวันหนึ่ง ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการของทริคนปัจจุบันก็ได้เข้ามาชักชวนเธอให้เข้ามาร่วมทำงานด้วย
โดยที่ไม่เคยระแคะระคายถึงความคับข้องใจของเธอเลย ทว่า ครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ ดร.วุฒิพงษ์ ได้เคยทาบทามให้เธอเป็นที่ปรึกษาของทริส แต่เธอก็ได้ปฏิเสธเรื่อยมาเพราะเห็นว่าจะเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์
และที่สำคัญ เธอไม่เคยคิดที่จะย้ายตัวเองออกสู่ภาคเอกชนเลย
"พี่ไม่เคยเล่าความคับข้องใจให้ใครฟังเลย เพราะพี่ไม่คิดที่จะไปเอกชน
อาจารย์วุฒิพงษ์ก็ทราบดีว่า พี่รักราชการแล้วคงอยู่ถึงเกษียณ เพราะมีความก้าวหน้านาย
promote ดี ไม่มีความคับข้องใจเรื่องตำแหน่ง ฉะนั้นทุกคนจึงมองว่าพี่ไม่มีทางออกแน่นอน
จริง ๆ แล้วพี่รู้จักอาจารย์มา 10 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่สอนอยู่ที่ธรรมศาสตร์
แล้วเผอิญอาจารย์เป็นคนสนใจเรื่อง public policy เหมือนกัน พี่ก็ได้เชิญอาจารย์เข้ามาร่วมในคณะกรรมการหลายคณะ
แต่ไม่เคยพูดเรื่องงาน พอดีในจังหวะที่เราแสนที่จะ down สุด ๆ อาจารย์ก็มาชวนและ
offer งานที่น่าสนใจ เพราะเกี่ยวกับ public policy มีความเป็นกลาง ซึ่งคล้ายกับงานภาครัฐ
แต่ใช้ facilities แบบเอกชน พี่ก็คิดว่ามันดีกว่าที่เราจะไปตั้งบริษัทที่ปรึกษาเอง
พี่ก็มานั่งคิด 2 อาทิตย์ แล้วก็พบว่ามันไม่มีจุดไหนเลยที่จะปฏิเสธได้ ลักษณะงานก็ดี
ความคล่องตัวดี อะไรที่เป็นจุดบอกที่เราเคยเจอตรงนี้มันไม่มี แล้วพี่จะไปปฏิเสธเขาได้อย่างไร"
นั่นคือ ที่มาของตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการทริสในวันนี้ของเธอ
ที่นี่ ชีวิตเธอกลับเข้าสู่ความสงบสุขอีกครั้ง เธอพร้อมที่จะลุยงานหนักที่รออยู่ข้างหน้าอย่างมีกำลังใจเต็มเปี่ยม
ประสบการณ์ ความรู้ที่สั่งสมจาก Dow Jones เมื่อครั้งนั้นได้ถูกรื้อขึ้นมาใช้อย่างจริงจังก็ครั้งนี้เอง
โดยตำแหน่งของเธอ เนื้องานที่ดูแลหลัก ๆ จะเป็นด้าน Credit Rating และการประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ
ซึ่งงานนี้ล้วนแล้วแต่ท้าทายความสามารถของเธอไม่ยิ่งหย่อนกว่าเมื่อครั้งที่เธออยู่ในกรมบัญชีกลาง
ต่างกันเพียงขอบเขตความรับผิดชอบเท่านั้น
"งานราชการความรับผิดชอบจะมากว่า เพราะถ้างานพลาดไปชิ้นหนึ่งจะกระทบกับระบบมหาศาล
ตรงนั้นเป็นความเหนื่อยใจว่า เราจะรับผิดชอบอย่างไรจึงจะดีเท่าที่เราอยากจะทำ
ยิ่งคุณขึ้นไปสูงเท่าไหร่ คุณจะเหนื่อยหนักกว่านั้นอีก เพราะความรับผิดชอบมากขึ้น
ขณะที่งานเอกชน ความรับผิดชอบคุณ define ได้ เพราะฉะนั้นคุณรู้เลยว่า นั่นคือกรอบของคุณ
แต่คุณต้องทำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด หากเปรียบเทียบแล้ว งานไม่ได้เบาลง
แต่เหนื่อยใจน้อยลง" ปนัดดา อธิบายถึงความแตกต่างที่เกิดขึ้นหลังเข้ามารับงานใหม่ได้ปีกว่า
หากพูดถึงผลตอบแทนไม่ต้องสงสัยเลยในระดับฝีมืออย่างเธอ แต่เธอได้ย้ำอย่างหนักแน่นว่า
เรื่องนี้เป็นเพียงหนึ่งในอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่รวมเป็นสิ่งแวดล้อมทั้งหมดที่มีผลต่อการตัดสินใจเท่านั้น
และค่าเหนื่อยที่ได้มาเธอไม่เคยเอ่ยปากต่อรอง เพราะต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ประจักษ์ก่อน
"เวลานี้พี่กลับบ้าน 2 ทุ่ม ยังมีพลังที่จะทำอย่างอื่นได้ต่อ แต่ตอนที่รับราชการกลับบ้าน
6 โมงเย็น แต่ต้องนอนแล้วเพราะเพลียใจ ความเหนื่อยใจมันทำให้เราไม่ได้ดูแลตัวเองเลย
แต่เมื่อมาอยู่เอกชน เวลาแทบไม่มีนะคะ แต่ยังมีพลังเหลือที่จะดูแลตัวเอง
นี่คือความแปลก"
ในวัย 42 ปี เธอมีความสุขตามอัตภาพกับครอบครัว ซึ่งบุตรชายคนเล็กเพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียง
4 เดือน ขณะที่บุตรสาวคนโตย่างเข้าขวบปีที่ 4 ไล่เลี่ยกับทริส บริษัทที่เธอทำงานอยู่
ขณะที่สามีของเธอได้ผันตัวเองจากวิศวกรอาวุโสของกิจการบริษัทที่ปรึกษาไปเป็นอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยรังสิต อันเป็นอาชีพที่เขารักและปรารถนาที่จะทำในเวลาไล่เลี่ยงกันกับเธอ
โดยมิได้นัดหมายกันมาก่อน ณ วันนี้เธอยอมรับอย่างภาคภูมิใจและพิสูจน์ให้เห็นว่าชีวิตเริ่มต้นที่
40 จริง ๆ