Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน7 ธันวาคม 2548
ฟิทช์ฯชี้ปี49เงินไหลเข้ากองทุน ตราสารหนี้รัฐบาลหนุนNAVขยับ             
 


   
www resources

โฮมเพจ ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย)

   
search resources

ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย), บจก.
Funds




ฟิทช์ เรทติ้งส์ฯฟันธงแนวโน้มธุรกิจกองทุนรวมปีหน้ายังคงเฟื่องฟู ตอบรับแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าเงินฝากโยกเงินลงทุนผ่าน บลจ.มากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ภาครัฐที่ถือเป็นตัวหลัก ที่ผลักดันให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของบลจ.ทั้งระบบทะยาน

นายวินเซนต์ มิลตัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งจะช่วยผลักดันให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บลจ.มีการเสนอขายหน่วยลงทุนที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้เอกชน และลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท

นายมิลตันกล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจกองทุน หลังจากที่มีการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝาก คาดว่าธุรกิจนี้มีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากการฝากเงินในอนาคตจะได้รับการค้ำประกันบางส่วนเท่านั้น ซึ่งทำให้เห็นว่าการฝากเงินมีความเสี่ยงเช่นกัน ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมองหาลู่ทางการลงทุนที่มีความเสี่ยงในระดับใกล้เคียงกัน แต่ให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่า ซึ่งในระยะแรกคาดว่ากองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือตั๋วเงินคลังจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงในระดับที่ใกล้เคียงกับการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์

นายเลิศชัย กอเจริญรัตนกุล Associate Director Corporates บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มในระยะสั้นการออกกองทุนของบลจ.ในช่วงปลายปีจนถึงกลางปีหน้าคาดว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรของรัฐบาลยังคงได้รับการตอบรับจากนักลงทุน เนื่องจากมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ประเมินว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในปีหน้ายังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น และคาดว่าหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) 14 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับตัวสูงสุดในช่วงกลางปีหน้า เชื่อว่ากองทุนแต่ละแห่งจะเริ่มปรับกลยุทธ์การออกกองทุนโดยหันมาออกกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะปานกลางและระยะยาวมากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในระดับสูง

"ในช่วงปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้า เชื่อว่ากองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตลาดเงิน และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นยังคงเป็นที่ต้องการของนักลงทุน เพราะมีลูกค้าบางส่วนที่ต้องการโยกเงินฝากมาพักไว้ที่กองทุนเป็นการชั่วคราว ก่อนที่จะโยกเงินเข้าไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงหลังการปรับอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี ของ ธปท. ซึ่งคาดว่าในช่วงกลางปีอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีจะปรับตัวสูงสุด"นายเลิศชัยกล่าว

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า นายเลิศชัยกล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีนี้ โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับตัวสูงสุดในช่วงกลางปีหน้า ส่งผลให้นักลงทุนหันมาสนใจลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้มากขึ้น

ด้านสมาคมบริษัทจัดการลงทุน รายงานมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) ทั้งอุตสาหกรรมกองทุนรวมและส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์) กองทุนรวมล่าสุด ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ที่ผ่านมามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 692,178,673,454.95 บาท โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) 10 อันดับแรกที่มีมาร์เกตแชร์สูงสุดประกอบด้วย

อันดับ 1 บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่า ทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 121,326,136,949.13 บาท และมีมาร์เกตแชร์ 17.53%
อันดับ 2 บลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 98,271,581,741.53 บาท มาร์เกตแชร์ 14.2%
อันดับ 3 บลจ.เอ็มเอฟซี มีมูลค่าทรัพย์สิน สุทธิ 90,484,683,133.34 บาท มาร์เกตแชร์ 13.07%
อันดับ 4 บลจ.กรุงไทย มีมูลค่าทรัพย์สิน สุทธิ 82,335,921,907.11 บาท มาร์เกตแชร์ 11.9%
อันดับที่ 5 บลจ.ทหารไทย มีมูลค่าทรัพย์สิน สุทธิ 59,716,649,367.71 บาท มาร์เกตแชร์ 8.63%
อันดับ 6 บลจ.ยูโอบี (ไทย) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 39,995,749,831.64 บาท มาร์เกตแชร์ 5.78%
อันดับ 7 บลจ. เอเจเอฟ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 35,259,816,832.67 บาท มาร์เกตแชร์ 5.09%
อันดับ 8 บลจ.บัวหลวง มีมูลค่าทรัพย์สิน สุทธิ 34,138,799,606.74 บาท มาร์เกตแชร์ 4.93%
อันดับ 9 บลจ.ธนชาต มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 31,228,234,799.95 บาท มาร์เกตแชร์ 4.51%
และอันดับ 10 บลจ.ไอเอ็นจี จำกัด มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 28,049,498,406.20 บาท มาร์เกตแชร์ 4.05%   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us