Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2540
วิบากกรรมของสิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ทุกขลาภตลาดหุ้นตายซาก มีแต่สาละวันเตี้ยลง             
โดย อนุสรา ทองอุไร
 


   
search resources

สิงห์ ตั้งทัตสวัสดิ์
Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยไร้เสถียรภาพ นักลงทุนห่อเหี่ยวใจ ดัชนีหนึ่งวันดีสี่วันไข้ แปรปรวนหาความแน่นอนไม่ได้ โอกาสเสียมากกว่าได้ สารพัดมรสุมรุมกระหน่ำทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน สิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ - ผู้กุมบังเหียนคนปัจจุบัน ในเวลา 8 เดือนที่นั่งเก้าอี้บริหารตลาดฯ หุ้นตกไปแล้วกว่า 500 จุด!! เขาถูกตั้งคำถามมากมาย แม้ความสามารถจะมี แต่โชคและโอกาสไม่อำนวย เขาจะทำอย่างไรกับเผือกร้อนจานใหญ่ในมือ ?!?

ตลาดหุ้นยุคสิงห์…เผือกร้อน ของฝากจากรัฐบาลบรรหาร

ภายหลังการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.ค. 2538 พรรคชาติไทยเป็นฝ่ายกุมเสียงข้างมาก ในสภาและได้อำนาจโดยชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล มีบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ สถานการณ์ตลาดหุ้นที่ตกต่ำประสานกับเสียงร้องยี้ เมื่อมีการประกาศรายชื่อรัฐมนตรีออกมา ซึ่งสถาบันที่สะท้อนภาพยี้ให้เห็นเด่นชัดในเวลานั้น คือ ตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีไหลรูดลงเกือบ 60 จุดในวันแรกที่บรรหาร เข้ารับตำแหน่ง

บรรหารได้ออกแถลงการณ์อย่างหงุดหงิดใจว่า ตลาดหุ้นจะทำให้ขึ้นก็ได้ ลงก็ได้ ก็รู้ ๆ อยู่ว่าใครทำ พร้อมกับให้ความมั่นใจว่าไม่ต้องกลัว "ผมจะต้องทำให้ตลาดหุ้นดีขึ้นได้แน่นอน"

แต่แล้วนายกรัฐมนตรีบรรหาร ศิลปอาชา ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า คำพูดของตนนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แถมยังได้ภาพติดลบไปอีกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ย่ำยีภาวะเศรษฐกิจไทยให้ตกต่ำย่ำแย่ที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ ตามความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของประเทศโดยเฉพาะในวงการธุรกิจทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อปริมาณการซื้อขายหุ้นในวันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 2539 ปริมาณการซื้อขายหุ้นมีจำนวนเพียง 1,512 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณการซื้อขายที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา

เพราะตัวเลขปริมาณการซื้อขายระดับพันกว่าล้านบาทต่อวันนั้น ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นก็คือ วันที่ 5 เมษายน 2536 ซึ่งในวันนั้น มีปริมาณการซื้อขายแค่เพียง 1,475.72 ล้านบาทเท่านั้นเอง แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทโบรกเกอร์ยังมีเพียง 35 บริษัทเท่านั้น ความซบเซาที่เกิดขึ้นยังถือว่าไม่หนักหนาเท่าในปัจจุบัน

แต่เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2538 ซึ่งเป็นวันที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิ่มจำนวนโบรกเกอร์จากเดิม 35 รายเป็น 44 รายนั้น ปริมาณการซื้อขายที่สร้างความเชื่อมั่นให้บริษัทซับ โบรกเกอร์กระโดดเข้ามาเป็นโบรกเกอร์มากขึ้นนั้น ก็เพราะมั่นใจว่าเฉลี่ยการซื้อขายแต่ละวันควรจะไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท เนื่องจากจะทำให้ธุรกิจโบรกเกอร์ทั้งหลายอยู่กันได้อย่างสบาย

รวมทั้งเมื่อมีการเพิ่มโบรกเกอร์จาก 44 รายเป็น 50 รายเมื่อต้นปี 2539 นั้นเอง ความฝันของบรรดาเหล่านายหน้าตัวแทนค้าหุ้นหรือโบรกเกอร์ก็ยังเรืองรองว่า ปริมาณการซื้อขายหุ้นของตลาดหุ้นไทยแบบสบาย ๆ ก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 7,000-8,000 ล้านบาทต่อวัน แต่ในที่สุดห้วงเวลา 11 เดือนภายใต้ร่มเงารัฐบาลบรรหาร 1/2/3 ก็พิสูจน์แก่ใจโบรกเกอร์และบรรดานักเล่นหุ้นไปแล้วว่า รัฐบาลบรรหารเป็นตัวการหลักให้ตลาดหุ้นไทยถึงกับสวรรค์ล่มแบบไปไม่กลับ - หลับไม่ตื่น - ฟื้นไม่มี - หนีไม่พ้น

เพราะฝันของนักลงทุนและโบรกเกอร์ไม่เป็นจริงเสียแล้ว ที่คาดกันว่าโบรกเกอร์ 50 รายจะแบ่งเค้กกันได้อย่างไม่เดือดร้อน การณ์กลับกลายเป็นว่าแทนที่จะแบ่งเค้กกันกินแบบอิ่มหนำสำราญ ก็ต้องกระเสือกกระสนกินข้าวคลุกน้ำตากันไปก่อนแทนเค้กเสียแล้ว

"สิงห์" วันนี้โชคไม่ช่วย แถมโอกาสยังไม่อำนวย

เนื่องจากมีตัวเลขชี้ชัดเมื่อสิ้นปี 2539 เป็นต้นมาว่า วอลุ่มการซื้อขายที่หดหายได้ทำให้อัตรารายได้ และผลกำไรของบริษัทโบรกเกอร์ต่าง ๆ พร้อมใจกันลดต่ำทั้งระบบ เฉลี่ยประมาณ 20% และที่สาหัสสากรรจ์ที่สุด คือ บรรดาโบรกเกอร์หน้าใหม่ที่ยังต้องจ่ายค่าเก้าอี้ล้วนต้องแบกรับภาระที่ซบเซาของตลาดหุ้นไทยที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาของบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะในยุคของเขานั้น หุ้นตกไปกว่า 175 จุดทีเดียว

ทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ รวมทั้งโบรกเกอร์ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ความสาหัสของตลาดหุ้นไทยในขณะนั้นเกิดขึ้นจากปัญหาหลัก 3 ประการ คือ ประการแรก ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในเรื่องของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ที่ถูกแก้ปัญหาด้วยการเอาใจการเมือง หลบเร้นความจริงได้เป็นข้อกังวลลึก ๆ ของนักลงทุนตลอดเวลาว่า เศรษฐกิจไทยอาจก้าวเข้าภาวะวิกฤติได้ หากรัฐบาลยังคงใช้การเมืองแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และหน่วยงานที่มีหน้าที่แก้ปัญหาการเงินการคลังยังคงเอาใจการเมืองจนเกินเหตุเช่นนี้

ประการต่อมา สภาพย่ำแย่ทางการเมืองที่วุ่นวายไม่สิ้นสุดนับตั้งแต่รัฐบาลบรรหาร 1 ขึ้นมาจนถึงบรรหาร 3 หรือแม้กระทั่งรัฐบาลพลเอกชวลิต ขณะนี้ก็ยังไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างการยอมรับได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ภาพที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฉุดให้ดัชนีตลาดหุ้นของไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วส่งผลกระทบต่อดัชนีหุ้นมาถึงวันนี้

ด้วยความบอบช้ำของนักลงทุนในตลาดหุ้น ในแง่ของการเมืองยังมีผลมาจากการเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ของนักการเมืองซีกรัฐบาลเอง โดยการเข้าเทกโอเวอร์บริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายหุ้นเน่า ด้วยการสนับสนุนสินเชื่อเทคโอเวอร์จากธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือบีบีซีฯ ทั้งที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่คุ้มเงินหนี้ จนเป็นเหตุให้บีบีซีมีหนี้ที่สงสัยจะสูญระดับ 19,730 ล้านบาท จนกระทบกระเทือนถึงสถานะการเงินของธนาคาร และกลายเป็นคดีงามหน้าอยู่ในตอนนี้ ความย่ำแย่ ความวุ่นวาย และภาพความไม่แน่นอนของการเมืองทำให้นักลงทุนพากันหมดแรงและหมดกำลังใจที่จะซื้อขาย

และประการสุดท้าย คือ เรื่องกลไกของตลาดหลักทรัพย์เอง โดยเฉพาะในเรื่องของมาตรการเมนเทนแนนซ์มาร์จิน ที่เป็นตัวกดดันหรือพร้อมจะซ้ำเติมได้ตลอดเวลา หากว่าหุ้นอยู่ในสภาพขาลงต่อเนื่องเมื่อใด ก็จะมีการบังคับขายเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้สถานการณ์หุ้นที่ย่ำแย่สาหัสหนักขึ้นไปอีก ซึ่งภาวะตลาดหุ้นไทย ตอนนี้ก็ได้ฉายภาพให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ตกต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี และอยู่ในภาวะที่เรียกว่าซบเซาต่อเนื่องมาแล้วเกือบ 3 ปีติดต่อกัน ช่วงที่เกิดเหตุการณ์แบล็คมันเดย์นั้น สภาพตลาดหุ้นไทยย่ำแย่อยู่เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้นก็สามารถฟื้นตัวได้แล้ว

นักลงทุนรายใหญ่เจ้าหนึ่งให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการรายเดือน" ว่า "ตอนนี้นักลงทุนไม่มีใครอยากจะลงทุนกันแล้ว ตราบเท่าที่ปัญหาทางด้านการเมืองยังไม่ลงตัว เพราะหากการเมืองยังวุ่นวายหาความแน่นอนไม่ได้ การที่จะผลักดันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจังก็เป็นเรื่องลำบาก ตรงนี้ทำให้นักลงทุนถอดใจและขอดูทิศทางลมก่อนว่า การเมืองจะลงตัวเมื่อไหร่ ภาวะตลาดหุ้นจึงจะพ้นสภาพตายซากแบบนี้"

ดังนั้น สภาพของ สิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 2 ก.ค. 39 จนถึงขณะนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้รับทุกขลาภจากสภาพตลาดหุ้นไทยตกต่ำครั้งนี้มาจากเสรี จินตนเสรี ที่ไม่ยอมต่ออายุเพราะเบื่อหน่ายเต็มที่กับภาวะการเมืองและตลาดหุ้นในขณะนั้นส่อเค้าความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นมีนักลงทุนรายย่อยประท้วงตลาดด้วยการยิงตัวตาย

อีกทั้งในช่วงที่สิงห์เข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นานก็มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารทางด้านการเงินหลายครั้งติดต่อกัน เช่น เปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจากวิจิตร สุพินิจ มาเป็นเริงชัย มะระกานนท์ หรือเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจากสุรเกียรติ เสถียรไทย มาเป็นบดี จุณณานนท์ ต่อด้วยชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ เรื่อยมาจนถึง ดร.อำนวย วีรวรรณ ซึ่งถือได้ว่าในยุคที่สิงห์ นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการตลาดหุ้นเพียง 8 เดือนมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถึง 4 คน ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินไทย

สิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ หรือจะเป็นแค่ สิ่งแปลกปลอมในตลาดหุ้นไทย

แม้ว่าสิงห์ จะถูกยอมรับจากบรรดาผู้ที่รู้จักว่า เป็นผู้ที่มีความสามารถ แต่โดยสถานการณ์ในขณะที่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งก็ห่างเวทีในเรื่องของตลาดหุ้นมานาน การที่จะเข้าแก้เกมปัญหาตลาดหุ้นที่ตกต่ำจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งในการเปิดตัวครั้งแรกกับสื่อมวลชน สิงห์ได้แสดงให้เห็นจุดยืนที่ว่าไม่ได้มองความสำคัญในเรื่องของเม็ดเงินของกองทุนต่างประเทศสักเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าคิด เนื่องจากสภาพตลาดหุ้นตอนนั้น ซีกของพอร์ตการลงทุนที่เป็นส่วนของไทยเองอยู่ในสภาพกะปลกกะเปลี้ยเต็มทนอยู่แล้ว

เพียงหนึ่งสัปดาห์ที่เข้ารับตำแหน่ง สิงห์ก็พยายามเสนอมาตรการใหม่ ๆ ออกมา แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย รวมทั้งโบรกเกอร์ เช่น การเก็บภาษีจากกำไรในการซื้อขายหุ้นจากนักลงทุนที่ถือหุ้นต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเริ่มซบเซาอย่างหนักแล้ว ทำให้เกิดกระแสต่อต้านถึงขนาดที่นักลงทุนรวมตัวกันโดยใช้ชื่อว่า "กลุ่มนักลงทุนเพื่อชาวหุ้น" นำโดยนายแพทย์สุรัตน์ จันทร์สกุล และโพธิชัย ใบสาเลิศ ส่งจดหมายถึงสิงห์ และส่งแฟกซ์ไปยังสื่อมวลชนทุกแขนง กล่าวหาว่าคิดไม่สร้างสรรค์ ซ้ำเติมขวัญและกำลังใจนักลงทุน ซึ่งบอกช้ำกันพออยู่แล้ว ในทางตรงข้าม ถ้าขายขาดทุนแล้ว จะขอคืนภาษีได้หรือไม่ ในที่สุด สิงห์ต้องเก็บความคิดดังกล่าวไว้ในใจ

และเมื่อเวลาผ่านไป 8 เดือนก็ได้พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจนระดับหนึ่งแล้วว่า โดยบุคลิกภาพการบริหารงานของสิงห์นั้น ค่อนข้างจะเชื่องช้าและไม่เด็ดขาด บ่อยครั้งที่สิงห์เสนอมาตรการใหม่ๆ แต่ไม่จูงใจนักลงทุนและสถาบัน ศุกรีย์ แก้วเจริญ กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนแรกให้ความเห็นถึงภาวะตลาดหุ้นไทยและสิ่งที่สิงห์กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ว่า เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจอย่างยิ่ง

"ความจริงแล้ว สิ่งที่สิงห์เสนอเป็นเรื่องที่ดีในระยะยาว เพราะจะทำให้ตลาดหุ้นแข็งแรงขึ้น แต่ควรจะนำมาใช้ตอนที่ตลาดหุ้นคึกคักมากกว่า ไม่ใช่ตอนที่ตลาดซบเซาเช่นนี้ สิงห์คงเจตนาดีนะ แต่จังหวะไม่ดีเท่านั้นเอง ก็น่าเห็นใจ ใครเข้ามาบริหารตลาดตอนนี้ก็คงลำบากกันทุกคนไม่ต่างกับสิงห์ เห็นใจกันเถอะ ตอนนี้ตลาดหุ้นบ้านเราเจอมรสุมหลายด้านเหลือเกินแค่แก้ปัญหาอย่างเดียวก็แย่แล้ว"

ศุกรีย์ กล่าวต่อไปว่า ตลาดหุ้นยุคเขาเมื่อ 20 ปีที่แล้วแตกต่างกับตอนนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะตอนก่อตั้งตลาดฯ ครั้งแรกแทบจะไม่มีใครสนใจเข้ามาจดทะเบียน ต้องพยายามอธิบายว่าตลาดหุ้นคืออะไร เข้ามาแล้วจะได้อะไร หน้าที่ของกรรมการผู้จัดการตอนนั้นไม่ต่างจากเซลล์แมน ต้องคอยขอร้องเชิญชวนให้บริษัทต่าง ๆ มาจดทะเบียน ปีแรกมีบริษัทสมาชิกไม่ถึง 20 บริษัท จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อตลาดใหญ่ขึ้นคนสนใจมากขึ้นก็มีผลกระทบกับผู้คนในวงกว้างมากขึ้น ตลาดหุ้นใหญ่ ๆ ทุกแห่งในโลกก็เป็นอย่างนี้เกือบทั้งนั้น

"มันเป็นวัฎจักรของตลาดที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องตั้งหลักอีกครั้ง เมื่อผ่านไปได้ก็จะเป็นตลาดที่แข็งแรงที่สุดตลาดหนึ่งในย่านเอเชีย ผมเชื่ออย่างนั้น" ศุกรีย์กล่าวอย่างเอาใจช่วยและให้ความเห็นว่าช่วงที่ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ เป็นกรรมการผู้จัดการนั้น เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นดูจะคึกคักที่สุดแม้จะเจอมรสุมบ้างแต่ก็ไม่นานนักที่จะแก้ไขได้

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดของสิงห์ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เนื่องจากในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2539 ได้มีข่าวลือหนาหูแพร่สะพัดที่ห้องค้าหลักทรัพย์หลายแห่งว่า มีนักลงทุนจำนวนหนึ่ง ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ล่ารายชื่อเพื่อทำจดหมายประท้วงไปยังคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์เพื่อขอให้ปลดสิงห์ ออกจากตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการตลาดฯ

งานนี้เก้าอี้กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำท่าจะกลายเป็น ทุกขลาภไปเสียแล้ว ก็ได้แต่หวังและเอาใจช่วยว่าสิงห์ จะยังคงคำรามและโชว์พลังปลุกตลาดหุ้นได้ในยุคที่การเมืองและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้ เพราะวันแรกที่สิงห์เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 2 ก.ค. 39 ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ระดับประมาณ 1240 จุด

แต่ ณ วันนี้ ดัชนีอยู่ที่ระดับ 698.06 จุด (เมื่อ 13/02/40) นั่นหมายความว่า ตลาดหุ้นลดลงไปแล้ว 518 จุด หรือเกือบ 40% หลังจากที่สิงห์ นั่งเป็นหัวเรือใหญ่ ของตลาดหุ้นไทย และถือว่าเป็นช่วงที่เข้ามาแก้ปัญหาเสียมากกว่าที่จะได้มีเวลาคิดริเริ่มอะไรใหม่ ๆ เนื่องจาก 8 เดือนที่ผ่านมาไม่อำนวยโอกาสให้สิงห์ได้คิดอะไร นอกจากหาทางแก้และสางปัญหาที่มีอยู่เดิม งานนี้เรียกว่า จังหวะเวลาไม่เข้าข้างสิงห์เอาเสียเลย ซึ่งขณะนี้มีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฯ กว่า 50 บริษัทที่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาพาร์ที่ 10 บาท จากจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนทั้งหมดประมาณ 400 ราย

นอกจากนี้ ยังมีบริษัทที่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีก 10 กว่ารายที่เลื่อนการซื้อขายและเลื่อนการกระจายหุ้นออกไปตั้งแต่กลางปี 2539 จนถึงขณะนี้ เช่น หุ้นในกลุ่มเหล็ก ตลาดหลักทรัพย์เองก็เคยเปิดเผยถึงตัวเลขการเลื่อนจองหุ้นเมื่อปีที่ผ่านมาว่า มีมูลค่าเกือบ 30,000 ล้านบาท

สร้างขวัญและกำลังใจ ด้วยการรีเอ็นจิเนียริ่ง

แม้บุคลิกภายนอกจะดูเชื่องช้าแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเฉื่อยชา เมื่อต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา สิงห์ได้ทำการรีเอ็นจิเนียริ่งด้วยการรื้อโครงสร้างตลาดหุ้นใหม่ มีการแบ่งความรับผิดชอบอย่างเป็นระบบและชัดเจนมากขึ้น โดยจะเริ่มที่ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดฯ ทั้ง 6 คน เนื่องจากต้องการให้ผู้บริหารระดับสูงมีการปรับเปลี่ยนสายงาน เพื่อให้มีความรอบรู้ในหลาย ๆ ด้าน และในอนาคตอันใกล้จะมีการตั้งองค์กรภายในขึ้น เรียกว่า องค์กรกำกับดูแลตัวเองหรือ SELF REGULATION ORGANIZATION (SRO) องค์กรนี้จะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลพนักงานมากนัก และจะทำให้ช่วยลดข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น

การปรับโครงสร้างครั้งนี้ มีจุดประสงค์หลักเพื่อให้การบริหารงานมีความคล่องตัวเป็นระเบียบ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 สายหลัก คือ 1. สายงานบริษัทจดทะเบียน 2. สายงานกำกับการซื้อขาย 3. สายงานส่งเสริมการลงทุน 4. สายงานสนับสนุน ประกอบด้วย ฝ่ายพัฒนาระบบ, ฝ่ายกฎหมายและสำนักงานเลขานุการ, ฝ่ายบัญชีและบริหาร และฝ่ายการพนักงาน

รวมทั้งจัดสายงานผู้รับผิดชอบใหม่ดังนี้ คือ ภัทรียา เบญจพลชัย รับผิดชอบสายงานบริษัทจดทะเบียน / สุทธิชัย จิตรวาณิช ดูแลงานกฎหมายและสำนักเลขา / นิตย์ จงดี ดูแลฝ่ายบริหารและบัญชี / พวงศรี ประจวบดี ดูแลฝ่ายการพนักงาน

ส่วนสุรัตน์ พลาลิขิต ดูแลงานกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์, ส่งเสริมการลงทุน / โสภาวดี เลิศมนัสชัย รักษาการแทนผู้ช่วยผู้จัดการที่รับผิดชอบสายงานกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ และสุวิชา มิ่งขวัญ ผู้อำนวยการฝ่ายสารนิเทศ เป็นโฆษกตลาดหลักทรัพย์ฯ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us