"ธารารมณ์" เผยแผนธุรกิจปี 49 เปิดตัว 4 โครงการบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตลาดใหม่เจาะกลุ่มลูกค้าซื้อบ้านหลังที่ 2 คาดสัดส่วนรายได้ปีหน้า บ้านเดี่ยว 75% ทาวน์เฮาส์ 25% แจงสต๊อกบ้านในมือและโครงการใหม่รองรับลูกค้าได้ 2-3 ปี พร้อมตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 2,300 ล้านบาท หรือขยายตัว เพิ่มขึ้นประมาณ 20% ส่วนตลาดรวมคาดเติบโต 15% ยอมรับปีหน้า แข่งดุเดือด
นายวสันต์ เคียงศิริ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่าในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-พ.ย.48) บริษัทมียอดขายแล้ว 1,800 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 1,900 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตจากปี 2547 ประมาณ 15% ซึ่งในช่วงเดือนสุดท้ายที่เหลือนี้คาด ว่าสามารถสร้างยอดขายได้อีก 100 ล้านบาท ที่เหลือบริษัทจะสามารถทำได้ตามเป้าแน่นอน ส่วนในปี 2549 บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายประมาณ 2,300 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปีนี้ หรือมีอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดรวมประมาณ 15%
โดยรายได้ดังกล่าวจะมาจากโครงการประเภทบ้านเดี่ยว 75% ส่วนที่เหลืออีก 25% จะมาจากโครงการทาวน์เฮาส์ และนอกจากนี้ จากการที่ในปี 49 บริษัทจะรุกเข้าเจาะกลุ่มตลาดลูกค้าที่ขยายครอบครัวหรือซื้อบ้านหลังที่ 2 ในการอยู่อาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดใหม่ที่บริษัทคาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 49 ของบริษัทจะยังเน้นการพัฒนาบ้านเดี่ยวเป็นหลัก และเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยน แปลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ ตัว ทำให้บริษัทต้องเพิ่มช่องทางตลาดใหม่ โดยจะเน้นเจาะกลุ่มเซกเมนต์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยในปีหน้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ บ้านเดี่ยว 2-3 ชั้นในซอยรามคำแหง 150 มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท , โครงการทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น ย่านรามคำแหง มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท โครงการทาวน์โฮม ออฟฟิศ 3-4 ชั้นย่านหัวหมาก มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นในย่านฝั่งธนบุรี มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท
ปัจจุบัน ธารารมณ์มีโครงการ ที่ยังเปิดการขายต่อเนื่องอยู่ 8 โครงการ ประกอบด้วย โครงการพรอเมนาด โฮม ธนบุรี, พาร์คเวย์ ชาเลย์ รามคำแหง, เนเบอร์โฮม วัชรพล, การ์เด้นสวีท, การ์เด้น สวีท ดิ อินดี้, ธารารมณ์บางกะปิ, ธารารมณ์หัวหมาก, และโครงการการ์เด้น คอนโดฯ โดยทั้ง 8 โครงการดังกล่าวมีมูลค่าขายรวมทั้งสิ้น 15,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อีก 2-3 ปี
นายวสันต์คาดการณ์ถึง แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 49 ว่า จะอยู่ในระดับเดียวกับปี 2548 นี้ คือมีอัตราการเติบโตประมาณ 10-15% เนื่องจากผลกระทบราคาน้ำมัน และดอกเบี้ย คาดว่าจะไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ในตลาดมากนัก เพราะระดับราคาน้ำมันในขณะนี้เริ่มลดลงแล้ว ซึ่งตามปกติในฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่มีการปรับราคาน้ำมันขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นนั้นคาดว่าจะเป็นไปอย่าง มีเหตุมีผล โดยจะค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นช้าๆ คาดว่าในปี 2549 ทั้งปี การปรับอัตราดอกเบี้ยไม่น่าจะ เกิน 1.5% ซึ่งหากมีการปรับขึ้นในแต่ละครั้งน่าจะทยอยปรับครั้งละประมาณ 0.25-0.5% โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของลูกค้า มากจนถึงขั้นทำให้เกิดการชะลอการซื้อ หรือกำลังซื้อชะงัก
ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่ทำให้กำลังซื้อของลูกค้าในตลาดลดลง ในขณะเดียวกัน สิ่งที่จะเริ่มเห็นชัดขึ้นในปีหน้าคือการเก็บเงินดาวน์บ้านจะเริ่มสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย และจะทำให้ระยะเวลา ในการผ่อนดาวน์ยาวขึ้น เหมือนกับ ในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้จำนวนการขอสินเชื่อบ้าน ลดลง ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคต้องปรับตัวในการซื้อบ้านคือ ต้องมีเงินออมในการซื้อบ้าน
นายวสันต์กล่าวว่า การ แข่งขันในตลาดทาวน์เฮาส์ และคอนโดฯ จะมีการแข่งขันที่สูง เนื่อง จากมีการเปิดตัวโครงการมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีผู้ประกอบการหลายรายต่างประกาศตัวที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการมากขึ้น เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด และจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจะทำให้ในตลาดเหลือผู้ประกอบการ รายใหญ่ที่เป็นมืออาชีพจริงๆ จึงจะ สามารถแข่งขันในตลาดดังกล่าวได้
"สังเกตได้ว่าในช่งปลายปีที่ ผ่านมาผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ หลายๆ รายเข้ามาผลิตคอนโดมิเนียมป้อนตลาดเป็นจำนวนมาก ทำให้จำนวนซัปพลายในตลาดคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากดีมานด์กลุ่มใหญ่ มีพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยเปลี่ยน ไป โดยผู้บริโภคในตลาดหันมาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้เมือง โดยเฉพาะในทำเลที่สามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวกมีระบบรถ ไฟฟ้ารองรับ ทำให้คาดว่าในปี49 การแข่งขันในตลาดคอนโดมิเนียมจะรุนแรงเพิ่มขึ้น" นายวสันต์กล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าในช่วงต้นปี 49 ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อบ้านจะไม่เน้นพิจารณาที่ราคาสินค้าเป็นหลัก แต่จะพิจารณาที่ทำเลที่ตั้ง รูปแบบสินค้า ซึ่งลูกค้าที่ซื้อบ้านในช่วงต้นปี ดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีกำลังซื้อ และเป็นกลุ่มที่ต้องการซื้อบ้านอย่างแท้จริง ดังนั้นในช่วงต้นปีเชื่อว่าผู้ประกอบการในตลาด จะไม่นำเสนอโปรโมชันมาใช้กันมาก นัก โดยเฉพาะรายใหญ่ๆ และรายกลาง แต่กลยุทธ์ดังกล่าวจะเริ่มเห็น กันในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการเร่งยอดขาย ทำให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น และกลุ่มลูกค้าที่เลือกซื้อบ้านในช่วงโปรโมชันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่พิจารณาในเรื่อง ราคาขายเป็นหลัก
|