Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน2 ธันวาคม 2548
รัฐบาลขาลง-ศก.ฉุดหุ้นดิ่ง             
 


   
search resources

Stock Exchange




แค่ 2 เดือนกว่า ดัชนีหุ้นไทยรูด 64 จุด หลังสนธิออกมาแฉรัฐบาลทักษิณผ่านเมืองไทยรายสัปดาห์ ปัจจัยการเมืองปะทุ ผสมโรงปัจจัยทางเศรษฐกิจ "คลังถังแตก-ตัวเลขขาดดุลการค้า-วิตกดอกเบี้ย-เงินเฟ้อทั่วโลก" นโยบายรัฐบาลสับสน นำไปสู่นักลงทุนหวาดระแวง เสถียรภาพการเมือง-เศรษฐกิจ หุ้นพัวพันการเมืองเดี้ยงสนิทในช่วง 2 เดือน แนวรับ 664 จุด เอาไม่อยู่ กลุ่มรับเหมาเจอเมกะโปรเจกต์สับสนทำปั่นป่วนหุ้นยักษ์ใหญ่ CK STEC ITD รูดตาม ด้านพาณิชย์เฮ เงินเฟ้อเดือนพ.ย.ลดลงครั้งแรกรอบ 12 เดือน ผู้ว่าฯ ธปท.เผยใกล้เคียงตัวเลข ธปท. ด้าน รมช.คลังชี้แจงออกตั๋วเงินคงคลัง 8 หมื่นล้าน ทำตามกฎหมาย

สถานการณ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โค้งสุดท้ายปี 2548 ตกอยู่ในสภาพทรุดตัวลงต่อเนื่อง เพราะนอกจากต้องเผชิญปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ไข้หวัดนก และภัยธรรมชาติ แล้วยังมีปัจจัยการเมืองและสังคมเข้ามากระทบต่อเนื่องหลังจากเกิดสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กับสื่อมวลชน นายสนธิ ลิ้มทองกุล

เมื่อผสมโรงกับปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่นักลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่นในโครงการเมกะโปรเจกต์ที่ปรับเปลี่ยนจนขาดความน่าเชื่อถือ ตามด้วยกรณีรัฐบาลปรับงบประมาณเพื่อสภาพคล่องส่งผลให้เกิดความหวาดระแวงในสถานะการคลังของรัฐบาล ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจเดือนต.ค.ที่ประกาศออกมาพบขาดดุลการค้า 1.5 ล้านบาท และระดับเงินเฟ้อ 5.9% ส่งผลให้ความเชื่อมั่นใจรัฐบาลทรุดหนักลง

ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นขาลงมาตลอด โดยนับตั้งรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกปลดกลาง อากาศออกจากผังโทรทัศน์ช่อง 9 และนายสนธิ ออกมาจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 กันยายน จากดัชนีที่ระดับ 725.98 จุด จนถึงวานนี้ (1 ธ.ค.) ดัชนีหลุดแนวรับมาอยู่ที่ระดับ 660.95 จุด เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบแล้วจะพบว่านับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย.ถึง 1 ธ.ค. ดัชนีหุ้นไทยลดลงทั้งสิ้น 64.69 จุด หรือคิดเป็นลดลง 8.91% จากปัจจัยการเมือง และปัจจัยเศรษฐกิจ จนนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในนัฐบาล และนำไปสู่ความกังวลในเสถียรภาพรัฐบาล

นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ทีเอสอีซี จำกัด กล่าวว่า ดัชนีวานนี้ทรุดลงหลุดแนวนับทางเทคนิคที่ 664 จุด ทำสถิติต่ำสุดใหม่ในรอบ 4 เดือน ขณะที่ปัจจัยลบที่เข้ามากระทบยังเป็นความกังวลเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อของต่างประเทศ เนื่องจากมีสัญญาณว่าจะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ความกังวลในอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ ประกอบกับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของเดือนตุลาคมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประกาศออกมาโดยเติบโตลดลงจากเดือนกันยายน ขณะที่ปัจจัยบวกใหม่ยังไม่มีเข้ามาสนับสนุน

สำหรับภาวะตลาดหุ้นในวันนี้ คาดว่าตลาดหุ้นจะยังอยู่ในทิศทางที่ปรับตัวลดลง และอาจจะทำสถิติต่ำสุดใหม่ได้ในทางเทคนิค ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดไม่มีปัจจัยหนุนเข้ามา

ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มลดพอร์ตการลงทุนเพราะใกล้ในช่วงวันหยุดยาวนักลงทุนจึงเพื่อถือเงินสดเพื่อจับจ่ายใช้สอย โดยประเมินแนวรับที่ 660 จุด แนวต้านที่ 670 จุด

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์นักวิเคราะห์ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) วานนี้มีแรงกดดันจากหุ้นขนาดใหญ่ (มาร์เกตแคป) อย่างเช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสารที่ปรับตัวลดลงรวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลดลงเช่นกันด้วยปัจจัยลบจากเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ที่ผ่านมาทำให้นักลงทุนยังขาดความมั่นใจทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองภายในประเทศ ปรับระบบขนส่งหุ้นรับเหมาฯป่วน

ด้านหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างวานนี้ได้รับแรงกดดันจากข่าวการปรับปรุงการลงทุนในโครงการขนส่งระบบไฟฟ้าของรัฐบาล จาก 7 เส้นทาง เป็น 10 เส้นทางในมูลค่าเงินลงทุน 5.5 ล้านบาท และยังให้รับข้อเสนอจากเอกชนต่างประเทศทั้งราคาและรูปแบบ เอกชนไทยที่คาดกันว่าจะได้รับงานส่วนนี้เต็มๆ จึงไม่ใช่แล้ว ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นยักษ์ใหญ่ในกลุ่มรับเหมาออกมา

บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ราคาดิ่งลึกสุดที่ 7.20 บาทก่อนปิดได้ที่ 7.30 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 6.41%, บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ราคาต่ำสุดที่ 10 บาท ก่อนปิดที่ 10.40 บาท ลดลง 0.70 บาท หรือ 6.31% และบมจ.ช.การช่าง (CK) ต่ำสุดที่ 11.10 บาท และปิดที่ 11.30 บาท ลดลง 0.60 บาท หรือ 5.04%

นักวิเคราะห์กล่าวแสดงความเห็นว่า ยังไม่ชัดเจนในเรื่องการเพิ่มเส้นทาง และในการเปิดทางให้เอกชนต่างชาติเข้ามาจะทำให้ต่างชาติบิดงานในราคาที่ต่ำและมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า เผยหุ้นพัวพันการเมืองรูดสนิท

จากการสำรวจของ "ผู้จัดการรายวัน" ยังพบว่าในช่วง 2 เดือน (1 ต.ค.-30 พ.ย.) หุ้นที่นักลงทุนรายใหญ่ซึ่งมีความใกล้ชิดกับนักการเมืองส่วนใหญ่ราคาทรุดตัวลงค่อนข้างมาก โดยหุ้น บมจ. ปิคนิค คอร์เปอเรชั่น (PICNI) ซึ่งเผชิญปัญหาทั้งภายในและนอก ทำราคารูดหนักกว่าใครมาปิดที่ 0.52 ลดลง 80.30 % จาก 2.64 บาท,

หุ้น บง. กรุงเทพธนาทร (BFIT) ปิดที่ 10.50 บาท ลดลง 65.29 % จาก 30.25 บาท,หุ้น บมจ.เค-เทค คอนสตรัคชั่น (KTECH) ปิดที่ 1.38 บาท ลดลง 60.12 % จาก 3.46 บาท

หุ้น บมจ.อีสเทิร์นไวร์ (EWC) ปิดที่ 12.70 บาท ลดลง 53.82% จาก 27.50 บาท, หุ้น บมจ. อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) ปิดที่ 2.24 บาท ลดลง 45.37 % จาก 4.10 บาท, บมจ. บีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (BNT) ปิดที่ 0.30 บาท ลดลง 43.40% จาก 0.53 บาท หุ้น บมจ. อีเอ็มซี (EMC) ปิดที่ 2.12 บาท ลดลง 34.57 % จาก 3.24 บาท หุ้น บมจ. แนเชอรัล พาร์ค (N-PARK) ปิดที่ 0.53 บาท ลดลง 30.26% จาก 0.76 บาท

พาณิชย์เฮ เงินเฟ้อเดือน พ.ย.ลด

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนพ.ย.2548 ลดลงจากเดือนต.ค. 0.7% เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 1 ปี นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.2547 เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.2547 สูงขึ้น 5.9% แต่เป็นระดับที่ต่ำกว่า 6% ในรอบ 3 เดือน จากที่เคยเพิ่มขึ้น 6% และ 6.2% ในเดือน ก.ย.และ ต.ค.ตามลำดับ ส่วนอัตราเฉลี่ย 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 4.4%

"เป็นข่าวดีในรอบ 12 เดือน ที่เงินเฟ้อลดลง และมั่นใจว่าจะดูแลเงินเฟ้อทั้งปีไม่ให้เกิน 4.5-4.6% หากน้ำมันไม่ขึ้น ค่าไฟฟ้าไม่ขึ้น เพราะตอนนี้กระทรวงพาณิชย์ได้มีการดูแลภาวะราคาสินค้าอย่างเต็มที่ โดยพื้นที่ไหนหากพบว่าสถานการณ์ราคาสินค้าผิดปกติ มีการโก่งราคา ก็ให้จัดทีมเข้าไป ดูแลหรือแก้ไขปัญหาทันที" นายสมคิดกล่าว

นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ (วอร์รูม) ใน 3 ส่วน ได้แก่ วอร์รูมเงินเฟ้อ ที่จะดูแลความเคลื่อนไหวของภาวะราคาสินค้า และการเตรียมมาตรการป้องกันวอร์รูมดุลการค้า ดูแลภาวะการส่งออกนำเข้า และวอร์รูมการลงทุน ซึ่งจะให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เป็นผู้รับผิดชอบ

นายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การที่เงินเฟ้อเดือนพ.ย.ลดลงจากเดือน ต.ค. 0.7% เป็นเพราะดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารลดลง 0.6% และหมวดที่ไม่ใช่อาหารลดลง 0.7% โดยมีสินค้าสำคัญที่เป็นปัจจัยหลักส่งผลให้ราคาสินค้าต่างๆ ลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 และ 95 ลดลง 3 ครั้ง รวม 1.30 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลลดลง 3 ครั้ง รวม 1.10 บาทต่อลิตร ส่วนสินค้าอื่นๆ ที่ราคาลดลง ได้แก่ ไก่สด ไข่ไก่ ผักและผลไม้

"ตอนนี้ 11 เดือนเฉลี่ย 4.4% อีกเดือนเดียวคงอยู่ที่ 4.4-4.5% เพราะฉะนั้น ที่ห่วงกันว่าปีนี้เงินเฟ้อจะสูง ก็ไม่ต้องห่วง เชื่อว่า 4.5% คุมได้ และต่ำกว่าที่สำนักอื่นๆ ทำนายกันไว้" นายการุณกล่าว

ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งหักรายการสินค้า กลุ่มพลังงานและอาหารสดออก ในเดือน พ.ย.2548 สูงขึ้นจากเดือน ต.ค. 0.1% แต่เมื่อเทียบเดือน ต.ค.2547 สูงขึ้น 2.4% ส่วนอัตราเฉลี่ย 11 เดือนเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนสูงขึ้น 1.5%

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของกระทรวงพาณิชย์เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับ ธปท. ซึ่งได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส ที่ 4 ของปี2548

ด้านการส่งออก ต.ค.ที่มีอัตราการขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 7.7% ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะต้องดูด้านอื่นประกอบด้วย อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามดูแนวโน้มของธุรกิจการส่งออกในช่วงต่อไป แต่เชื่อว่าจะขยายตัวดีขึ้นในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปี 2548 เนื่องจากหากพิจารณาตัวเลขดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ของเดือนตุลาคมจะพบว่าเพิ่มขึ้นมาจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการผลิตในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ยังคงเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังมียอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ (ออเดอร์) ของภาคส่งออกอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี

"ธปท.ยังคงประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2548 ที่ระดับ 4.25-4.75% เช่นเดิม และยืนยันว่าจะยังไม่มีการปรับประมาณการใหม่"

ผู้ว่าฯ ธปท.ยังกล่าวถึงการที่ราคาทองคำได้ปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ส่งผลให้ทุนสำรองทางการระหว่างประเทศปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ธปท. มีสัดส่วนทุนสำรองในรูปของทองคำ 2% ของทุนสำรองทั้งหมด

ทั้งนี้ ปริมาณทุนสำรองทางการระหว่างประเทศล่าสุดในวันที่ 18 พฤศจิกายน อยู่ที่ระดับ 50,047.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากวันที่ 11 พฤศจิกายนที่มีจำนวน 49,754.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจากคำนิยามทุนสำรองระหว่างประเทศ ของ ธปท. ประกอบด้วย การสะสมทุนสำรองฯ ในรูปของเงินตราต่างประเทศ ทองคำ สิทธิพิเศษในการถอน (Special Drawinf Rights) จากไอเอ็มเอฟ และฐานะเงินสำรองที่ไอเอ็มเอฟ

คลังยันออกตั๋วเงินคงคลังตามกฎหมาย

บ่ายวานนี้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณากระทู้ถามสดของนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นกระทู้ถามสดถาม นายกรัฐมนตรีเรื่อง การบริหารเงินคงคลังว่า สิ้นเดือนตุลาคมจะมีเงินคงคลังเหลืออยู่เท่าไหร่ และถ้า ครม.ไม่อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2549 โดยให้กระทรวงการคลังออกตั๋วเงินคงคลัง เพื่อกู้เพิ่มเติมอีก 80,000 ล้านบาท ในเดือนหน้า จะเอาเงินจากแหล่งไหนมาจ่ายบำนาญ นอกจากนี้จากการคำแถลงของ ธปท.พบว่า ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นถึง 8.6พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3.4 แสนล้านบาทและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 1.2 แสนล้านบาท โดยที่ผ่านมา ไอเอ็มเอฟ เคยบังคับให้ สิ้นเดือน ต.ค.ปี 2540 จะต้องขาดดุลเงินสดไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท แต่ขณะนี้ ธปท. แถลงว่าสิ้นเดือน ต.ค.ขาดดุลเงินสดถึง 5.3 หมื่นล้านบาท แสดงว่าการเงินของประเทศกำลังเข้าสู่หายนะ แล้วประเทศไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร

นายวราเทพ รัตนากร รมช.คลัง ชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรีว่า สาเหตุที่ต้องออกตั๋วคงคลังเพราะสถานการณ์ขณะนี้ เหมือนกับการประกอบธุรกิจแล้ว ธุรกิจขยายตัวขึ้นก็จะต้องมีเงินงบประมาณมากขึ้น และที่ผ่านมางบประมาณของประเทศที่รัฐบาลเคยตั้งไว้ 9แสนล้านบาท ก็เพิ่มขึ้นเป็น 1.36 ล้านล้านบาท ซึ่งรายรับจากการจัดเก็บภาษีจะเข้ามาเป็นฤดูกาล จึงมีโอกาสที่เงินสดจะขาดมือรัฐบาลจึงจำเป็ฯต้องหางินมาจ่ายด้วยการออกตั๋วคงคลัง เป็นเรื่องที่ทำตามกฎหมาย ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ

นายวราเทพกล่าวว่า ขณะนี้เงินคงคลังที่เหลืออยู่ 3 หมื่นกว่าล้านบาท เป็นการสำรองเงินในช่วง 2 สัปดาห์ โดยเงินดังกล่าวได้มีการจ่ายเงินเดือนข้าราชการไปแล้วและเงินที่สำรองดังกล่าว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครมาเบิกทีเดียวหมด ส่วนปัญหาเรื่องเป็นเกษียณอายุราชการ ผู้รับเหมาไม่ได้รับเงินค่างวด ไม่เคยเกิดปัญหานี้ เงินคงคลัง 5.18 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนตุลาคม ยังเพียงพอในการใช้จ่าย ไม่มีผลกระทบต่อความเป็นห่วงดังกล่าว

นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายให้แก่ข้าราชการกรมบัญชีกลางว่า ไม่ได้มีการสั่งการให้ดูแลเรื่องการบริหารเงินคงคลังเป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้ดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ที่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงอะไร

"ไม่จำเป็นต้องมีกลไกป้องกัน เพราะเป็นเรื่องปกติของการจัดทำงบประมาณ มันก็เหมือนกับการบริหารองค์กร ที่เมื่อรู้อยู่แล้วว่ามีรายจ่ายประจำเท่าไหร่ แต่ยังไม่รู้รายรับที่แน่นอน ก็ต้องมีการสำรองเงินไว้ให้เพียงพอก็เท่านั้น ผมไม่อยากชี้แจงเรื่องนี้มาก" นายทนงกล่าว

นายบุญศักดิ์ เจียมปรีชา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า เงินคงคลังในเดือนตุลาคม 2548 ไม่ได้ลดลงเป็นประวัติการณ์ หากรัฐบาลไม่ออกตั๋วเงินคลังเพื่อกู้เงิน จะทำให้เงินคงคลัง ณ สิ้นปี 2549 อยู่ที่ 7.8 หมื่นล้านบาท แต่ได้มีการประเมินว่า รายได้บางเดือนอาจไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงเห็นว่าควรมีการกู้มาใช้จ่าย ประกอบกับในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมองว่าควรมีการสำรองเงินคงคลังไว้ประมาณ 1-1 เดือนเศษ เป็นระดับที่เหมาะสม ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่กระทรวงการคลังจะขยายวงเงินกู้ เพราะได้ประโยชน์ 2 ต่อ คือ มีเงินสำรองเพียงพอต่อการใช้จ่าย และ ณ สิ้นปี 2549 มีเงินสำรองในระดับที่น่าพอใจ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us