|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กลุ่มตระกูล "โลจายะ" สยายปีกสู่ธุรกิจจัดสรร หลักเทกโอเวอร์ บริษัท คันทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ดึง ที่ดินเก่าทำเลศักยภาพ ผุดบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์-คอนโดฯ ทั้งในกรุงเทพฯ, เชียงใหม่ และหัวเมืองใหญ่ เน้นกลุ่มลูกค้าระดับราคา 2-5 ล้านบาท ระบุได้เปรียบคู่แข่ง เหตุได้สิทธิ์ซื้อคืนจากเจ้าหนี้ในราคาเพียง 50% ของราคาตลาด
นายสวิจักร์ โลจายะ กรรมการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้แพลนเนอร์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผน บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าดำเนินการเป็นผู้บริหาร แผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท คันทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดย เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 ศาล ล้มละลายกลาง มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน โดยแผนฟื้นฟูกิจการ และการฟื้นฟูกิจการของบริษัทมีเจ้าหนี้ ยื่นขอรับชำระหนี้จำนวน 209 ราย มูลหนี้รวมประมาณ 15,000 ล้านบาท
โดยแผนฟื้นฟูกิจการ ได้แบ่ง เจ้าหนี้ทั้งหมดออกเป็น 13 กลุ่ม ประกอบด้วยเจ้าหนี้มีประกัน 2 กลุ่ม และเจ้าหนี้ไม่มีประกัน 11 กลุ่ม ซึ่งบริษัทได้ทำการชำระหนี้ ทั้งการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้, แปลงหนี้เป็นทุน ชำระเงินจากกระแสเงินสด เป็นต้น สำหรับการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้นั้น บริษัทได้ใช้สินทรัพย์ของบริษัทจำนวน 9 โครงการตีโอนชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงได้สิทธิ์ในการซื้อคืนทรัพย์สินได้ภายใน 5 ปี ซึ่งที่ผ่านมา ได้ทำการซื้อคืนที่ดินเปล่าย่านสุวินทวงศ์เฟส 2 ประมาณ 412 ไร่ จากทั้งหมด 526 ไร่ ในราคา 200 ล้านบาทจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดถึง 50%
นายสวิจักร์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อทำการย้ายหมวดหลักทรัพย์จากหมวดฟื้นฟูกิจการ (รีแฮบโก) มาอยู่ในหมวดปกติ เพื่อทำการซื้อขาย คาดว่าจะได้รับอนุมัติในช่วงไตรมาส 1 ปี 2549
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการ โครงการ มาย วิลล่า บางนา คอนโดมิเนียม 2 อาคาร และอาคารสำนักงาน 1 อาคาร ซึ่งเป็นการขยาย โครงการต่อเนื่อง ปัจจุบันมียูนิตเหลือขาย 122 ยูนิต จากทั้งหมด 718 ยูนิต ราคายูนิตละ 8.5 แสนบาท ถึง 1.5 ล้านบาท และพื้นที่อาคารสำนักงานอีก 10 ยูนิต โครงการมายโฮม ประชาชื่น บนเนื้อที่ 8 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 33 ยูนิต ราคา 5.9-13 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 223 ล้านบาท ปัจจุบันขายไปได้แล้ว 20 ยูนิต เหลือ 10 ยูนิต อยู่ระหว่างทยอยโอนก่อสร้างแล้ว 70% และโครงการ มายโฮม เทพารักษ์ ทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น จำนวน 194 ยูนิต ราคา 2.5-2.8 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างไปแล้ว 70%
สำหรับแผนการดำเนินงาน บริษัทได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ ในไตรมาส 1 ปี 2549 ได้แก่ โครงการมายโฮม สุวินทวงศ์ เนื้อที่ทั้งหมด 635 ไร่ โดยจะพัฒนาในเฟสแรก จำนวน 114 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 295 ยูนิต ราคาเฉลี่ยยูนิต 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ส่วนเฟสที่ 2 เนื้อที่ 526 ไร่ จำนวน 1,179 ยูนิต ต้องรอให้เฟสแรกพัฒนาแล้วเสร็จจึงจะเริ่มพัฒนาใหม่ คาดว่าทั้งโครงการจะใช้ระยะเวลา ในการพัฒนาและขายประมาณ 5 ปี และโครงการ มายโฮม เชียงใหม่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 500 ยูนิต บนเนื้อที่ 170 ไร่ ราคายูนิตละ 2.5-3 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพัฒนาประมาณ 3 ปี
นายสวิจักร์ กล่าวว่า บริษัทได้วางเป้าหมายการดำเนินงานพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคา 2-5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ของตลาด เน้นทำเลที่มีศักยภาพและใกล้เมือง ซึ่งบริษัทแม้ว่าจะเข้าสู่ตลาดใหม่อีกครั้ง และมีขนาดเล็กหากเทียบกับรายอื่นๆ แต่บริษัทมีข้อได้เปรียบคู่แข่งในตลาด เนื่องจากผู้บริหารเดิมมีแลนด์แบงก์ ในทำเลที่มีศักยภาพ อีกทั้งมีต้นทุน ที่ต่ำกว่าตลาด เนื่องจากได้รับสิทธิ์ซื้อคืนจากเจ้าหนี้ในราคาต่ำกว่าราคาประเมิน 30% หรือถูก กว่าราคาตลาดถึง 50% ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรที่สูงกว่าผู้ประกอบการในตลาดอีกหลายๆราย ส่วนการสร้างแบรนด์ มายโฮม นั้นต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร
|
|
|
|
|