Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน1 ธันวาคม 2548
โลจายะล้างน้ำคันทรี่ฯ ดันแบรนด์"มายโฮม"             
 


   
search resources

คันทรี่ (ประเทศไทย), บมจ.
Real Estate




กลุ่มตระกูล "โลจายะ" สยายปีกสู่ธุรกิจจัดสรร หลักเทกโอเวอร์ บริษัท คันทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ดึง ที่ดินเก่าทำเลศักยภาพ ผุดบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์-คอนโดฯ ทั้งในกรุงเทพฯ, เชียงใหม่ และหัวเมืองใหญ่ เน้นกลุ่มลูกค้าระดับราคา 2-5 ล้านบาท ระบุได้เปรียบคู่แข่ง เหตุได้สิทธิ์ซื้อคืนจากเจ้าหนี้ในราคาเพียง 50% ของราคาตลาด

นายสวิจักร์ โลจายะ กรรมการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้แพลนเนอร์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผน บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าดำเนินการเป็นผู้บริหาร แผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท คันทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดย เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 ศาล ล้มละลายกลาง มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน โดยแผนฟื้นฟูกิจการ และการฟื้นฟูกิจการของบริษัทมีเจ้าหนี้ ยื่นขอรับชำระหนี้จำนวน 209 ราย มูลหนี้รวมประมาณ 15,000 ล้านบาท

โดยแผนฟื้นฟูกิจการ ได้แบ่ง เจ้าหนี้ทั้งหมดออกเป็น 13 กลุ่ม ประกอบด้วยเจ้าหนี้มีประกัน 2 กลุ่ม และเจ้าหนี้ไม่มีประกัน 11 กลุ่ม ซึ่งบริษัทได้ทำการชำระหนี้ ทั้งการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้, แปลงหนี้เป็นทุน ชำระเงินจากกระแสเงินสด เป็นต้น สำหรับการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้นั้น บริษัทได้ใช้สินทรัพย์ของบริษัทจำนวน 9 โครงการตีโอนชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงได้สิทธิ์ในการซื้อคืนทรัพย์สินได้ภายใน 5 ปี ซึ่งที่ผ่านมา ได้ทำการซื้อคืนที่ดินเปล่าย่านสุวินทวงศ์เฟส 2 ประมาณ 412 ไร่ จากทั้งหมด 526 ไร่ ในราคา 200 ล้านบาทจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดถึง 50%

นายสวิจักร์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อทำการย้ายหมวดหลักทรัพย์จากหมวดฟื้นฟูกิจการ (รีแฮบโก) มาอยู่ในหมวดปกติ เพื่อทำการซื้อขาย คาดว่าจะได้รับอนุมัติในช่วงไตรมาส 1 ปี 2549

ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการ โครงการ มาย วิลล่า บางนา คอนโดมิเนียม 2 อาคาร และอาคารสำนักงาน 1 อาคาร ซึ่งเป็นการขยาย โครงการต่อเนื่อง ปัจจุบันมียูนิตเหลือขาย 122 ยูนิต จากทั้งหมด 718 ยูนิต ราคายูนิตละ 8.5 แสนบาท ถึง 1.5 ล้านบาท และพื้นที่อาคารสำนักงานอีก 10 ยูนิต โครงการมายโฮม ประชาชื่น บนเนื้อที่ 8 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 33 ยูนิต ราคา 5.9-13 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 223 ล้านบาท ปัจจุบันขายไปได้แล้ว 20 ยูนิต เหลือ 10 ยูนิต อยู่ระหว่างทยอยโอนก่อสร้างแล้ว 70% และโครงการ มายโฮม เทพารักษ์ ทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น จำนวน 194 ยูนิต ราคา 2.5-2.8 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างไปแล้ว 70%

สำหรับแผนการดำเนินงาน บริษัทได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ ในไตรมาส 1 ปี 2549 ได้แก่ โครงการมายโฮม สุวินทวงศ์ เนื้อที่ทั้งหมด 635 ไร่ โดยจะพัฒนาในเฟสแรก จำนวน 114 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 295 ยูนิต ราคาเฉลี่ยยูนิต 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ส่วนเฟสที่ 2 เนื้อที่ 526 ไร่ จำนวน 1,179 ยูนิต ต้องรอให้เฟสแรกพัฒนาแล้วเสร็จจึงจะเริ่มพัฒนาใหม่ คาดว่าทั้งโครงการจะใช้ระยะเวลา ในการพัฒนาและขายประมาณ 5 ปี และโครงการ มายโฮม เชียงใหม่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 500 ยูนิต บนเนื้อที่ 170 ไร่ ราคายูนิตละ 2.5-3 ล้านบาท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพัฒนาประมาณ 3 ปี

นายสวิจักร์ กล่าวว่า บริษัทได้วางเป้าหมายการดำเนินงานพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคา 2-5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ของตลาด เน้นทำเลที่มีศักยภาพและใกล้เมือง ซึ่งบริษัทแม้ว่าจะเข้าสู่ตลาดใหม่อีกครั้ง และมีขนาดเล็กหากเทียบกับรายอื่นๆ แต่บริษัทมีข้อได้เปรียบคู่แข่งในตลาด เนื่องจากผู้บริหารเดิมมีแลนด์แบงก์ ในทำเลที่มีศักยภาพ อีกทั้งมีต้นทุน ที่ต่ำกว่าตลาด เนื่องจากได้รับสิทธิ์ซื้อคืนจากเจ้าหนี้ในราคาต่ำกว่าราคาประเมิน 30% หรือถูก กว่าราคาตลาดถึง 50% ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรที่สูงกว่าผู้ประกอบการในตลาดอีกหลายๆราย ส่วนการสร้างแบรนด์ มายโฮม นั้นต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us