|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กระเบื้องหลังคาตราเพชร ลุยตลาดหุ้นท่ามกลางภาวะผันผวน หน้ามืดเทรดวันแรกรูด 19.87% ที่ปรึกษาฯชี้ภาวะไม่เอื้อ นักลงทุนกังวล หลายปัจจัย แนะถือระยะยาวรับปันผลกว่า 9% เตรียมใช้กรีนชูออปชันสร้าง เสถียรภาพราคา "ประกิต" ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 2 พันล้าน ปีหน้าโต 10-20%
วานนี้(29 พ.ย.) หุ้นบริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชรจำกัด (มหาชน) หรือ DRTเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรกโดยราคาจองซื้ออยู่ที่7.80 บาทต่อหุ้น ขณะที่ราคาเปิดที่ระดับ 7.00 บาท ลดลงต่ำกว่าจอง 0.80 บาทโดยราคาสูงสุดระหว่างวันอยู่ที่ 7.20 บาท ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 6.25 บาท ลดลง 1.55 บาท หรือ 19.87% มูลค่า การซื้อขาย 267.84 ล้านบาท
นายประกิต ประทีปะเสน ประธานกรรมการบริษัทกระเบื้องหลังคาตราเพรช จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าปีนี้จะมียอดขาย 2,000กว่าล้านบาทและมีกำไร 200-215 ล้านบาท โดยช่วง 9 เดือนบริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,600 ล้านบาทแล้วซึ่งรายได้หลักในปีนี้มาจากกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ 60% กระเบื้องคอนกรีต 25% และ ที่เหลือ 15% มาจากไม้ฝา ทั้งนี้ในปี 2549 บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้อัตราการเติบโตของยอดขายไว้ที่ 10-20% เนื่องจากบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตในสินค้าเพิ่มขึ้นจากความต้อง การที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะไม้ฝา
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศในประเทศ เพื่อนบ้านประเภทกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ซึ่งได้รับความนิยมมากส่วนการที่ราคาหุ้นซื้อขายวันแรกราคาต่ำกว่าราคาจองที่ 7.80 บาทนั้นน่าจะเกิดจากภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวย และหุ้น DRT มีนักลงทุนราย ย่อยถือในสัดส่วนจำนวนมากเมื่อสถานการณ์ไม่ดีจึงมีการเทขายออกมา แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีความ มั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่แข็งแกร่งที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต ของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและสามารถจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอโดยนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิส่วนการจัดสรรหุ้นส่วน เกิน(กรีนชู)ไม่เกิน 6 ล้านหุ้นนั้นทางที่ปรึกษาทางการเงินคงมีการพิจารณาและมีการนำมาใช้บางส่วน
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำ ในการจัดจำหน่ายหุ้นบริษัท กระเบื้อง หลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT กล่าวว่าสาเหตุที่ทำให้ ราคาหุ้น บมจ.กระเบื้องหลังคาตราเพชรต่ำกว่าราคาจองซื้อเกิดจากภาวะตลาดหุ้นไม่อำนวยเนื่องจากนักลงทุนยังรอความชัดเจนในหลาย เรื่อง โดยในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีก็ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เรื่องที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นเรื่องคำสั่งของศาลฎีกาในเรื่องการให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมซื้อหุ้นเพิ่มทุนบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPI ว่าจะออกมาในทิศทางใด
นอกจากนี้ การกำหนดราคาจองซื้อถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมโดยราคาดังกล่าวเมื่อเทียบกับระดับพีอีเรโซอยู่ที่ประมาณ 6 เท่า กว่า ซึ่งหากเทียบกับพีอีเรโซในกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ระดับ 10 เท่า ก็ถือว่าเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนเป็นนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลบริษัทได้ประมาณการการจ่ายเงินปันผลของหุ้นบมจ.กระเบื้องหลังคาตราเพชร จากผลการดำเนินงานงวดปี 2549 ซึ่งน่าจะจ่ายเงินปันผลได้ในระดับ 0.55-0.60 บาทต่อหุ้นหรือ 7-8% เมื่อเทียบกับราคาจองซื้อ
"ถ้าจะถือลงทุนระยะยาวผมว่าผลตอบแทนค่อนข้างจะดียิ่งราคาหุ้นที่ต่ำลงไปผลตอบแทนจากเงินปันผลในปีหน้าจะสูงถึงประมาณ 9%" นาย ญาณศักดิ์กล่าว
ในส่วนเรื่องการใช้หุ้นส่วนเกิน (กรีนชูออปชัน) บริษัทได้จัดสรรหุ้นส่วนเกิน(กรีนชู)ไม่เกิน 6 ล้านหุ้นซึ่งจะต้องมีการปรึกษากับบริษัทก่อน ซึ่งการใช้หุ้นส่วนเกินไม่ใช่เป็นการใช้เพื่อทำให้ราคาหุ้นที่ซื้อขายไม่ต่ำกว่าราคาจอง แต่เป็นการรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นในระยะยาวซึ่งบริษัทมีเวลา 30 วันในการพิจารณาการกำหนดนโยบายการใช้ในเรื่องดังกล่าว
นายวิจิตร สุพินิจประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่านักลงทุนที่จะเข้า มาลงทุนในตลาดหุ้นไทยควรเน้นการ ลงทุนในระยะยาวอย่ามองแค่ระยะสั้นเท่านั้น
ทั้งนี้ การเข้าซื้อขายของหุ้นบมจ.กระเบื้องหลังคาตราเพชร (DRT)แม้ราคาจะต่ำกว่าราคากว่าจอง ก็ไม่เป็นสิ่งที่น่าห่วง เพราะบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และในระยะยาว บริษัทก็จะได้รับผลดีจากการลงทุนในโครงการของรัฐบาลซึ่งจะสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศ
|
|
|
|
|