|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ยูโอบี"ประกาศลุยลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่อง มองภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนไทยระยะยาวเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ หวังผลตอบแทนจากการลงทุนในไทยกว่า 15% จากทั้งภูมิภาคประมาณ 40% แนะธุรกิจแบงก์ไนไทยต้องควบกิจการเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ระบุกำลัง ศึกษารายละเอียดการลงทุนก่อนเมษายนปีหน้า เพื่อตัดสินใจเพิ่มทุนหรือลดสัดส่วนให้รายย่อย 30% เพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เผย ยูโอบี(ไทย) ตั้งเป้าสินเชื่อปีหน้าโต 2% หรือ 7 พันล้านบาท
นายฟรานซิส ลี ชิน ยง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารอาวุโส กลุ่มงานบุคคลธนกิจและกิจการต่างประเทศ ธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ ซีส์ (ยูโอบี) เปิดเผยว่า ภาพรวมของ เศรษฐกิจประเทศไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยมีแนวโน้มอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีผลกระทบปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น แต่จะเป็นช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น ดังนั้นยูโอบีจึงตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ได้ลงทุนในธนาคารรัตนสินแล้ว
ทั้งนี้ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ถือเป็นธุรกิจที่น่าสนใจในประเทศไทย ยังคงมีโอกาสขยายตัวสูง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของยูโอบีที่สนใจเศรษฐกิจและการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่สูง
โดยมุ่งเน้นพัฒนากิจการในระดับภูมิภาคด้วยการสร้างความเติบโตจากภายในองค์กร การรวมกิจการ และการสร้างพันธมิตรเชิง กลยุทธ์กับพันธมิตรธุรกิจที่มีความเหมาะสม โดยมีเป้าหมายเน้นการสร้างผลกำไรจากเครือข่ายในต่างประเทศ 40% ของกำไรทั้งหมดในปี 2553 โดยตลาดสิงคโปร์ยังคงมีบทบาทสำคัญตามแผนกลยุทธ์ของกลุ่มยูโอบีและยังคงเป็นตลาดหลักต่อไป ทั้งนี้กิจการในต่างประเทศของยูโอบีจะเป็นเครื่องมือในการสร้างอัตราการเติบโตตามเป้าหมาย
สำหรับประเทศไทย ยูโอบี ได้เริ่มต้นจากการเป็นเจ้าของกิจการ ธนาคารยูโอบี รัตนสินในปี 2542 ส่งผลให้ยูโอบี มีความมั่นใจว่า ธุรกิจ ในประเทศไทยจะได้รับการสนับสนุน และความร่วมมืออย่างแข็งขันจากสิงคโปร์และเครือข่ายในภูมิภาค ให้สอดคล้องกับการดำเนินงานตามแผนธุรกิจ ซึ่งคาดว่าการลงทุนในประเทศไทย จะมีผลตอบแทนจากการลงทุนต่อผู้ถือหุ้นประมาณ 15% ภายในปี 2553 ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ยูโอบี กำลังอยู่ในช่วงของการศึกษาถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศไทย โดยยังมีเวลาจนถึงเดือนเมษายน 2549 ว่าจะมีสัดส่วนของการถือหุ้นหรือการลงทุนในประเทศไทยเท่าใด
ปัจจุบันยูโอบี ได้ถือหุ้นอยู่ในธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ (ไทย) ประมาณ 98.49% และผู้ถือหุ้นรายย่อยอีก 1.5% ซึ่งจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้งหนึ่งว่าจะลดสัดส่วนการถือหุ้นหรือเพิ่มทุน เพื่อให้ได้สัดส่วนตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการนำธนาคารเข้าซื้อ ขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยขณะนี้ยังมีเวลาในการศึกษาถึงผลดีผลเสีย ของแต่ละวิธี
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกหลังจากที่มีการรวมกิจการจากธนาคารยูโอบี รัตนสิน (มหาชน) และธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) โดยธนาคารยูโอบี (ไทย) มีกำไรสุทธิ 1,057 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 564 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของธนาคารยูโอบี ในประเทศไทย และเป็นบทพิสูจน์ถึงผลดีจากการลงทุนในการควบรวม กิจการ
"ธุรกิจแบงก์พาณิชย์มีแนวโน้ม การแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่ง คาดว่าในอนาคตจะเห็นแบงก์พาณิชย์ มีการควบรวมกิจการกันเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มมาร์เกตแชร์ และป้องกันความเสี่ยง โดยฐานของทุนหรือเครือข่ายจะเป็นกลยุทธ์ในการบริหาร หรือป้องกันความเสี่ยงได้ดี ซึ่งยูโอบี ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้วและพร้อมที่จะแข่งขันกับตลาดได้"
นายคิม ชุง หว่อง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อปี 2548 ขยายตัว 2% และจะเพิ่มเป็นตัวเลข 2 หลักใน ปีหน้า โดยจะเน้นด้านวาณิชธนกิจ สินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายใหญ่ โดยอาศัยศักยภาพที่เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารยูโอบี รัตนสิน กับ ธนาคารเอเชีย (BOA) ที่สำเร็จลงในปีนี้
โดยขณะนี้ธนาคารยูโอบีในประเทศไทยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 206,000 ล้านบาท มีพนักงาน 3,800 คน มีเครือข่ายสาขา 154 สาขา และหลังจากควบรวมกับธนาคารเอเชีย แล้ว หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ลดลงมาประมาณ 4,000 ล้านบาท ตอนนี้ทั้งสองธนาคาร มีเอ็นพีแอลรวมกัน 11.2% ธนาคาร มุ่งเน้นให้บริการแก่ลูกค้านักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร รวมถึงในส่วนของธุรกิจ SME เพื่อช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเจ้าของให้มากขึ้น รวมถึงการให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกทางด้านการค้าระหว่างประเทศ และงาน ทางด้านวาณิชธนกิจ ซึ่งเป็นจุดเด่นของธนาคาร
พร้อมกันนั้นก็ยังเน้นการสร้างความแตกต่างจากธนาคารอื่น โดยอาศัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในการนำเสนอ ผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการบริการที่เพิ่มมูลค่าผ่านธนาคารทางอินเทอร์เน็ต และทุกช่องทางที่เข้าถึงการทำธุรกรรมทางการเงินได้ การทำธุรกรรมผ่านเครื่อง ATM ที่สามารถใช้ได้ทั่วโลก
ในปัจจุบันภาพรวมของธนาคารพาณิชย์ไทยมีการแข่งขันที่สูง ซึ่งทางธนาคารก็ตั้งเป้าหมายในการเติบโตไว้เป็นตัวเลข 2 หลัก โดยจะเน้นทางด้าน Consumer Banking และ Corporate Banking โดยเป็นส่วนของธุรกิจ Consumer Banking 28% และส่วนของ Corporate Banking 72% และในปีหน้าจะเพิ่มสัดส่วนธุรกิจของ Consumer Banking เป็น 40% และ Corporate Banking เหลือ 60%
"ระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย ตอนนี้ TOP 4 รวมกันเป็นรายใหญ่ของระบบ ส่วนยูโอบีเป็นอันดับที่ 9 คือ ซึ่งขนาดไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ธนาคารจะเน้นความเข้าใจ ในตลาดและลูกค้า รวมถึงการบริการลูกค้าและมีส่วนช่วยในการพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย" นายคิม ชุง หว่อง กล่าว
|
|
|
|
|