"ประหยัดเรื่องอะไรก็ประหยัดได้ แต่จะไม่ประหยัดในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม"
คำกล่าวของ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊ดวานซ์
อะโกร จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้ผลิตเยื่อกระดาษ และกระดาษรายใหญ่ของไทย ที่พยายามจะเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์พร้อมอย่างรอบด้าน
และอุตสาหกรรมแบบยั่งยืน
แม้ว่าผลประกอบการจะเป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจ และแม้ว่าหนึ่งปีแรกของการดำเนินงาน
ผลที่ออกมาพบว่าขาดทุน แต่ประธานกรรมการบริหารก็ยังมั่นใจว่า ไม่ใช่เรื่องน่าวิตก
สิ่งที่น่ากระตือรือร้นกว่ากลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ที่เป็นเช่นนั้นน่าจะมาจากแนวโน้มการใช้กระดาษที่จะเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับราคาที่จะขยับตามขึ้นไปด้วย
ประกอบกับปีแรกของการดำเนินงานย่อมมีต้นทุนการผลิตที่สูง และยังผลิตไม่ได้เต็มกำลังการผลิต
แต่เมื่อเข้าสู่ปีที่สองแล้ว หลายอย่างจะดีขึ้น
โยธิน ดำเนินชาญวนิชย์ กรรมการผู้จัดการของ แอ๊ดวานซ์ฯ กล่าวว่า ราคาเยื่อกระดาษในปี
2539 ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำมาก และขณะนี้แม้ว่าจะยังมีราคาต่ำแต่แนวโน้มเริ่มดีขึ้น
และคาดว่าช่วงครึ่งปี 2540 ไปแล้วราคาจะขยับเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากการใช้กระดาษในสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะมีมากขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
ซึ่งส่งผลให้ปริมาณสต็อกเยื่อกระดาษในโลกมีปริมาณลดลง นอกจากนี้ ยังทำให้ปริมาณเยื่อกระดาษที่ดัมพ์สู่ตลาดเอเชียจะลดลงด้วย
ซึ่งจะเป็นเรื่องดีสำหรับบริษัท
ในส่วนของบริษัทเอง โยธิน กล่าวว่า เนื่องจากเป็นปีแรก และกำลังการผลิตยังไม่เต็มที่
ใช้เพียง 60% ทำให้ต้นทุนสูง การดำเนินงานมีผลขาดทุนถึงกว่า 500 ล้านบาท
และเมื่อรวมกับบริษัทย่อยแล้ว พบว่า ขาดทุนถึงกว่า 900 ล้านบาท แต่แนวโน้มก็เริ่มดีขึ้นและคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้เร็วที่สุด
"ไม่เป็นกังวลมากนัก และในปีนี้บริษัทในเครือหลายบริษัทเริ่มทำกำไรได้แล้ว
ประกอบกับปัจจัยหลายอย่างเอื้ออำนวย จึงมั่นใจว่าปีนี้บริษัทจะเริ่มเห็นกำไรกลับมาบ้าง"
โยธินกล่าวอย่างมั่นใจ
สำหรับเป้าหมายของบริษัทในปี 2540 นี้ จัดได้ว่า เป็นการวางเป้าหมายที่เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างมาก
เพราะจะมีอัตราการขยายตัวถึง 100% จากปีที่แล้ว จากยอดจำหน่ายเกือบ 4,000
ล้านบาทในปี 2539 คาดว่าจะเพิ่มเป็นกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งจากแผนงานที่โยธินได้อ้างถึง
ย่อมมีความเป็นไปได้
ไม่ว่าจะเป็นจากกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว ผลจากการที่โรงงานแห่งที่สอง
จะเริ่มผลิตได้ในช่วงเดือนสองเดือนนี้ และจากมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมา
อย่างเช่น กระดาษอาร์ตที่จะทำการผลิตเพิ่มมากขึ้น ก็จะมีกำไรต่อหน่วยมากกว่าการผลิตกระดาษปอนด์
ประกอบกับสถานการณ์กระดาษในตลาดโลกเป็นใจ เหล่านี้จึงกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาช่วยลดความวิตกกังวลใจจากผลประกอบการในปีแรกไปได้มาก
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เห็น ดร.วีรพงษ์ ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างคนไม่มีทุกข์ในอกแม้แต่น้อย
ในวันแถลงข่าวการให้ความสนับสนุน บริษัท แปซิฟิก อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น
จำกัด ทำการผลิตสารคดีที่ชื่อว่า "ธรรมชาติ 2" เพื่อแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง
5
นอกจากการสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทางอ้อมเช่นนี้แล้ว ยังมีอีกหลายโครงการทั้งทางตรงและทางอ้อมที่
บริษัท แอ๊ดวานซ์ฯ เข้าร่วมหรือเป็นผู้บุกเบิกโครงการ ซึ่ง ดร.วีรพงษ์ กล่าวว่า
บริษัทมีปรัชญาว่า การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่ของทุกคน ดังนั้น
จึงถือว่าการให้ความสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อม
เป็นนโยบายสำคัญนโยบายหนึ่งที่ปฏิบัติตลอดมา
"กำลังหวังว่าจะได้รับเลือกให้เป็นบริษัทอุตสาหกรรมตัวอย่างที่เป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เราพยายามอย่างยิ่งที่จะได้รับมาตรฐาน ISO 14000" ดร.วีรพงษ์ กล่าวถึงความตั้งใจ
มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม หรือ ISO 14000 เป็นมาตรฐานที่เน้นไปในเรื่องของระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี
และการรักษาระบบดังกล่าวให้คงมีประสิทธิภาพอยู่ เป็นการริเริ่มให้อุตสาหกรรมต่าง
ๆ เข้าสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ เพื่อว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจได้แบบยั่งยืนควบคู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดี
ซึ่งมาตรฐานนี้ยังคงเป็นเรื่องของความสมัครใจในขั้นนี้
แน่นอนว่า เมื่อมีทิศทางออกมาในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแบบยังไม่บังคับก็น่าที่จะต้องเข้าร่วมโครงการก่อนใคร
ๆ แนวคิดตรงนี้มั่นใจว่า บริษัทระดับยักษ์ใหญ่หลายแห่ง คงไม่ยอมตกขบวนและถ้าใครได้รับมาตรฐานก่อนเป็นรายแรกของเมืองไทยรับรองว่าได้หน้าได้ตาไม่น้อย
เพราะ ณ ขณะนี้ ISO 14000 ได้กลายเป็นเรื่องของภาพพจน์เป็นอันดับแรกไปเสียแล้ว
สำหรับ แอ๊ดวานซ์ อะโกร แล้ว แน่นอนว่าต้องหวังด้านภาพพจน์อยู่บ้าง แต่ยังมีอีกความหมายหนึ่งถ้าพิจารณาให้ดี
ISO 14000 ก็คือสิ่งที่โยธินกล่าวว่า
"ขณะนี้ทางบริษัทกำลังจัดทำระบบการทำงานเพื่อเตรียมเข้าขอรับการรับรองมาตรฐาน
ISO 14000 ซึ่งคาดว่าในปลายปีนี้จะได้รับการรับรอง โดยทางบริษัทจะต้องมีการลงทุนเพิ่มอีกประมาณ
30% แต่จากผลตรงนี้ได้กลับมาเป็นผลดีต่อบริษัทในระยะยาว เนื่องจากสามารถลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิตบางส่วนได้มากพอสมควร"