เมื่อเอ่ยถึงชื่อหนังสือ "บ้านและสวน" น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า "บ้านและสวน" ได้เติบโตมาพร้อม ๆ กับสำนักพิมพ์อมรินทร์
หรือที่คุ้นเคยกันในนามของบริษัทอมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด
(มหาชน) เจ้าของนิตยสารชื่อดังอีก 4 ฉบับ "แพรว" "แพรวสุดสัปดาห์"
"LIFE & DECOR" และ "TRENDY MAN" รวมถึงหนังสือเล่มอีกหลายร้อยเรื่อง
สำนักพิมพ์อมรินทร์ไม่ได้พิมพ์ แต่หนังสือที่ให้แต่ความบันเทิง อาทิ นวนิยาย
เรื่องสั้น วรรณกรรมสำหรับเด็ก งานแปลเท่านั้น หากยังพิมพ์งานในเชิงวิชาการ
งานวิจัยต่าง ๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือ สำนักพิมพ์อมรินทร์ฯ ได้รับมอบหมายจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ให้เป็นผู้พิมพ์และเป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือพระราชนิพนธ์ของพระองค์ และพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ด้วย
การที่เกริ่นเริ่มเรื่องด้วยหนังสือ "บ้านและสวน" นั้น สืบเนื่องจากศักราชใหม่นี้
อมรินทร์ฯ และ "บ้านและสวน" ก็จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 21 ซึ่งถ้าเปรียบกับอายุคนก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว
และกว่าจะมีวันนี้ได้…แน่นอน…ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนักสำหรับ ชูเกียรติ อุทกะพันธุ์
กรรมการผู้จัดการของอมรินทร์ฯ หรือเจ้าของตัวจริงนั้นเอง
"การเติบโตที่ผ่านมา เป็นการเติบโตเพื่อที่จะให้บริการลูกค้าให้ดีขึ้นมากกว่าการที่จะเติบโตในลักษณะที่มีการวางแผนหรือคิดล่วงหน้าว่า
เราจะโตแค่ไหน"
จากความรับผิดชอบต่อลูกค้านี้เองที่ทำให้อมรินทร์ฯ จากเดิมที่มีเพียง "บ้านและสวน"
ฉบับเดียวก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะ 2 - 3 ปีต่อจากนั้นก็มี "แพรว"
เว้นระยะสักนิดก็ตามมาด้วย "แพรวสุดสัปดาห์" "LIFE &
DECOR" และ "TRENDY MAN" น้องใหม่วัย 5 ขวบ ซึ่งก็คงไม่ใช่น้องสุดท้องอย่างแน่นอน…
ตลอดระยะเวลา 20 ปีของการทำงานของชูเกียรติ "พ่อใหญ่" ของอมรินทร์ฯ
ก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่หนังสือไม่กี่เล่ม ตรงกันข้ามกลับมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งดูเหมือนจะขัดกับคำพูดของเขาที่กล่าวกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ว่า
"จริง ๆ เราไม่อยากโตเท่าไหร่หรอก…เหนื่อย…" และเขาเองก็เป็นผู้ลบความขัดแย้งนั้นด้วยตัวเอง
"แต่ความรับผิดชอบที่เรามีต่อลูกค้าเป็นตัวผลักดันที่ทำให้เราต้องทำ
และต้องทำให้สำเร็จ เราก็เลยต้องโตมาเรื่อย ๆ"
และเมื่อ 4 ปีที่แล้ว อมรินทร์ฯ ก็กลายเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ก้าวนี้เองที่ทำให้อมรินทร์ฯ ต้องโตอย่างเป็นระบบมากขึ้น
อมรินทร์ฯ ภายใต้การบริหารงานของชูเกียรติ ประกอบด้วย ธุรกิจ 3 กลุ่มหลัก
คือ ธุรกิจโรงพิมพ์ ธุรกิจการจัดจำหน่ายและธุรกิจสำนักพิมพ์
"ความจำเป็นที่เราต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เนื่องจากเราต้องการระดมทุนเพื่อใช้ในการขยายโรงพิมพ์
ซึ่งโรงพิมพ์นี้ถือเป็นส่วนที่ทำรายได้ให้อมรินทร์มากที่สุดในปัจจุบัน และเงินที่ได้จากการระดมทุนเมื่อครั้งนั้น
เราก็นำมาลงทุนที่โรงพิมพ์ทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเห็นผลแล้วว่า เราสามารถทำงานได้เร็วขึ้น
รับงานได้ในปริมาณที่มากขึ้น และได้รับความเชื่อถือจากสำนักพิมพ์อื่นที่มาใช้บริการของเรามากขึ้น
ซึ่งกำลังการผลิตของเราในปัจจุบันสามารถรองรับงานพิมพ์ภายในและภายนอกได้อย่างสบาย
แต่ในอนาคตหากงานพิมพ์ของเรามีมากขึ้น เราคงต้องรับงานนอกให้น้อยลง"
ชูเกียรติเล่า
นอกจากนี้ เขายังมองว่า ธุรกิจโรงพิมพ์ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก หากสามารถพัฒนาบุคลากรผู้มีความชำนาญในเรื่องของเทคโนโลยีการพิมพ์สมัยใหม่
ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ และเขาก็ความเชื่อว่า
"ในอนาคต ธุรกิจการพิมพ์จะอยู่บนเส้นทางของ IT คือ ไม่จำเป็นต้องเป็นอุตสาหกรรมใหญ่โต
อาจเป็นเพียงเครื่อง PRINTER หรือ SERVER ย่อยลงมา เพื่อรองรับชุมชนหรือหน้าร้านเท่านั้น"
ส่วนธุรกิจการจัดจำหน่ายก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีความสำคัญต่ออมรินทร์ฯ
ซึ่งอมรินทร์ฯ ก็มีร้านค้าปลีกเป็นของตนเอง โดยใช้ชื่อว่า "ร้านนายอินทร์"
ที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นชื่อเดียวกับพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
"เราขอพระราชทานชื่อ "นายอินทร์" มาเป็นชื่อร้าน หลังจากที่ได้พิมพ์หนังสือนายอินทร์เรียบร้อยแล้ว
เพราะรู้สึกประทับใจในชื่อของนายอินทร์ และ CONCEPT ของร้านเราก็เป็นการทำงานลักษณะปิดทองหลังพระเช่นกัน
คือ เราพยายามที่จะสร้างร้านหนังสือให้สามารถทำหน้าที่ได้มากกว่าความเป็นเพียงร้านหนังสือ
ดังนั้น ร้านของเราจึงมีบรรยากาศที่น่าเข้า ทั้ง ๆ ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่จอแจ
วุ่นวาย แต่เมื่อลูกค้าได้เข้าไปในร้านเรากลับมีความรู้สึกสบาย เหมือนอยู่ในห้องสมุด
มีมุมให้นั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือ หรือร่วมเสวนากับนักเขียนที่เราเชิญมาทุกสัปดาห์
ซึ่งขณะนี้เรามีทั้งหมด 4 สาขา และในอนาคตข้างหน้า ถ้าเรามีความพร้อมเราก็จะเปิดสาขาต่อ
ๆ ไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะให้ร้านนายอินทร์กลายเป็นร้านที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย
เนื่องจากการเลือกทำเลสถานที่เป็นปัจจัยที่สำคัญ รวมทั้งการฝึกอบรมบุคลากร
การสร้างโปรแกรมการขาย การบริหารสินค้า ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกนาน"
ชูเกียรติเล่าถึงร้านนายอินทร์ ร้านหนังสือที่มีความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากร้านหนังสือทั่วไป
นอกจากร้านนายอินทร์แล้ว อมรินทร์ฯ ยังมีซุ้มหนังสือวสำหรับจำหน่ายหนังสือทั้งในและต่างประเทศประจำโรงเรียนต่าง
ๆ ด้วย
สำหรับธุรกิจสำนักพิมพ์นั้น ชูเกียรติได้มีแนวคิดที่จะเปิดสำนักพิมพ์เพิ่มขึ้นอีกหลายสำนักพิมพ์
เช่น สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก สำนักพิมพ์แพรวเยาวชน สำนักพิมพ์อมรินทร์วิชาการ
สำนักพิมพ์อมรินทร์ภูมิปัญญา เป็นต้น โดยขณะนี้ก็สามารถเปิดทำการไปแล้วหลายสำนักพิมพ์
ซึ่งแต่ละกลุ่มสำนักพิมพ์ก็จะมีบุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน
"เราจะไม่ทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด เพราะไม่คุ้มกับการเป็น NEW COMMER"
ชูเกียรติกล่าวถึงจุดยืนในการทำธุรกิจ และจากจุดยืนนี้เองทำให้เราไม่มีโอกาสเห็นเขาไปจับงานรายวัน
ดังเช่น บริษัทอื่นที่จดทะเบียนอยู่ในหมวดเดียวกัน อมรินทร์จึงเป็นบริษัทเดียวที่ไม่มีหนังสือพิมพ์รายวันเป็นของตนเอง
ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่แนวทางที่ชูเกียรติต้องการจะให้เป็นไปอยู่แล้ว
จากลักษณะการดำเนินธุรกิจที่ค่อนข้างเป็นแบบ CONSERVATIVE ไม่ได้ทำให้อมรินทร์ฯ
ล้าหลังหรือตามโลกไม่ทัน ตรงกันข้าม "พ่อใหญ่" แห่งอมรินทร์ฯ กลับมีวิสัยทัศน์ที่ล้าสมัยด้วยซ้ำ
เขามองว่า
"สังคมไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า สังคมแห่งการเรียนรู้
อมรินทร์ในฐานะผู้ผลิตสื่อก็ต้องพยายามที่จะผลิตสื่อที่จะสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด"
ดังนั้น แนวทางที่อมรินทร์ฯ จะเดินต่อไปนับจากวันนี้ก็คือ การสร้างสำนักพิมพ์ให้มีมากขึ้น
ซึ่งปัจจุบันอมรินทร์ฯ มีหนังสือภายใต้สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ในเครือกว่า 400
เรื่อง ในขณะที่นิตยสารก็ยังคงมีอยู่ 5 ฉบับ และหากในปีนี้ ตลาดมีความพร้อมและความต้องการมากขึ้น
เราอาจได้เห็นนิตยสารฉบับใหม่ในเครืออมรินทร์ฯ ออกมาท้าทายอยู่บนแผงหนังสือก็เป็นได้
เขาเริ่มต้นเล่าถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของอมรินทร์ฯ ในอนาคตว่า สำนักพิมพ์ที่จะเกิดขึ้นใหม่นั้น
แต่ละสำนักพิมพ์ก็จะมีกองบรรณาธิการของตัวเอง และในช่วงระยะเวลา 2 - 3 ปีที่ผ่านมา
อมรินทร์ฯ ได้มีกองบรรณาธิการใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลายกองด้วยกัน อาทิ กองบรรณาธิการแพรวเพื่อนเด็ก
ซึ่งจะผลิตหนังสือที่เกี่ยวกับเด็กทั้งหมด ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับเด็กเล็กระดับอนุบาล
โดยมีการจัดสัมมนา ฝึกอบรมให้ครูและนักเรียนเข้าใจถึงแนวคิดใหม่ในการที่จะให้พ่อแม่ใช้หนังสือเป็นสื่อกลางในการสื่อสารกับลูก
นอกจากนั้น ยังมีกองบรรณาธิการแพรวเยาวชน ซึ่งผลิตวรรณกรรมเยาวชน ซึ่งปัจจุบันมีกว่า
20 เรื่องและส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงจากประเทศต่าง ๆ ขณะเดียวกัน
อมรินทร์ฯ ก็พยายามที่จะสร้างวรรณกรรมของไทยขึ้นด้วย
"วรรณกรรมเยาวชนเป็นหนังสือที่น่าสนใจ เพราะยังเป็นที่แพร่หลายในเมืองไทย
ส่วนใหญ่หนังสือในเมืองไทยจะเป็นหนังสือสำหรับเด็กเล็ก ประเภทการ์ตูนต่าง
ๆ แล้วก็ข้ามไปเป็นหนังสือผู้ใหญ่เลย แต่หนังสือสำหรับเด็กอายุ 10 ขวบขึ้นไปจะมีน้อยมาก
ถ้าพวกเขาอยากอ่านหนังสือก็ต้องข้ามไปอ่านหนังสืออย่างงานของดอกไม้สด อรวรรณ
เป็นต้น แต่หากเรามีวรรณกรรมมากขึ้น ก็จะช่วยให้เด็กสนใจการอ่านมากขึ้น เนื่องจากวรรณกรรมเหล่านี้จะไม่มีความซับซ้อนและหยาบเท่ากับหนังสือผู้ใหญ่
เพราะเรื่องราวส่วนใหญ่จะสอดคล้องกับความสนใจและจินตนาการของเด็ก ซึ่งเราก็จะเป็นตัวเชื่อมให้วรรณกรรมเยาวชนเป็นที่รู้จักมากขึ้นในสังคมไทย"
ชูเกียรติกล่าวอย่างมุ่งมั่น
นอกจากนั้น อมรินทร์ฯ ยังมีการสั่งสมข้อมูลที่เรียกว่า ทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งจะนำออกเผยแพร่ในลักษณะของการตีพิมพ์บนกระดาษและในรูปแบบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วย
"เราจะต้องขยายตัวทั้งในแนวขวาง คือ การที่มีสำนักพิมพ์มากขึ้น พร้อมทั้งขยายตัวในแนวดิ่ง
คือ การเป็นสื่อในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น การยิงเข้าอินเตอร์เน็ต การออกรายการวิทยุโทรทัศน์
รวมทั้งการทำในรูปของวิดีโอ เทปคาสเซตต์ หรือดิสเก็ตต์ เป็นต้น" นี่คือ
ทิศทางการเติบโตของอมรินทร์ฯ แต่สำหรับคำถามที่ว่า อมรินทร์ฯ จะขยายตัวได้มากน้อยแค่ไหนนั้น
เขาไม่สามารถให้คำตอบได้ เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นอีกที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของเขา
เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การสนับสนุนจากรัฐบาล
โอกาสในการเติบโตของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจยังมีช่องทางอีกมาก แต่จะเติบโตได้แค่ไหนภายใน
3 - 5 ปีข้างหน้าก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของเราเองว่า เรามีความพร้อมเรื่องบุคลากร
และสามารถวิ่งตามเทคโนโลยีได้มากน้อยแค่ไหน เงินทองอาจจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา
เพราะเรามีช่องทางในการระดมทุนจากตลาดฯ เป็นฐานที่แข็งแรงอยู่แล้ว ส่วนการแข่งขันก็ไม่ใช่ปัญหา
เพราะธุรกิจที่เราทำ เป็นสินค้าที่คนต้องการอยู่แล้ว แต่ปัจจัยที่สำคัญอีกปัจจัยก็คือ
ภาวะเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยและเหมาะสมมากน้อยเพียงใดตอ่การลงทุนของเรา หรือแม้แต่ตลาดในต่างประเทศเองมีความเหมาะสมกับเราแค่ไหนที่เราจะขยายธุรกิจไป
…นับระยะเวลาต่อจากนี้ อมรินทร์ฯ จะต้องให้ความสำคัญกับทรัพยากรบุคคลให้มากขึ้น
รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยี อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินธุรกิจในอนาคต
ซึ่งเราจะต้องแข็งแรงทั้งคนและระบบ และที่สำคัญ คนที่ทำงานกับเราจะต้องมีความสุขกับงานที่ทำ
เพราะไม่ว่างานจะยากลำบากเพียงใด หากเขามีความสุขแล้ว เขาก็สามารถทำงานนั้นให้สำเร็จจนได้
เป็นความใส่ใจที่ "พ่อใหญ่" แห่งอมรินทร์ฯ ถ่ายทอดออกมา
สำหรับภาครัฐบาล ชูเกียรติกล่าวว่า เป็นตัวแปรสำคัญทีเดียวในการที่จะทำให้อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ของไทยแข็งแกร่งหรือไม่
ปัจจุบันรายได้หลักของอมรินทร์ฯ นอกจากจะมาจากธุรกิจโรงพิมพ์แล้ว ยังมาจากค่าโฆษณาในนิตยสารทั้ง
5 ฉบับ และรายได้จากการขายหนังสือเล่ม ซึ่งส่วนหลังนี้จะไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนการผลิตหนังสืออยู่ในระดับที่สูงมากขึ้น
จากภาวะราคากระดาษที่มีแนวโน้มที่จะไม่ลงต่ำกว่าในปัจจุบันแล้ว ยังมาจากการที่ประเทศไทยมีการเก็บภาษีกระดาษที่สูงถึง
20% ซึ่งมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่มีการเก็บภาษีนี้เลย ปัจจัยเหล่านี้เองที่ทำให้ราคาหนังสือของไทยขยับตัวค่อนข้างสูงขึ้นมากในปัจจุบัน
"ต้นทุนการผลิตหนังสือประมาณ 65 - 70% มาจากค่ากระดาษ และหากรัฐยังคงเก็บภาษีตัวนี้อยู่
ต้นทุนก็จะยิ่งสูงขึ้น ราคาหนังสือก็จะแพงอย่างที่เป็นอยู่ ในทางกลับกันหากฐานภาษีตัวนี้ลดลง
หรือคิดเหมือนเพื่อนบ้าน คือ 0% จะทำให้ราคาหนังสือลดลง 25 - 50% ทีเดียว
ถ้ารัฐให้ความสนับสนุนตรงนี้อย่างจริงจัง คนไทยจะมีหนังสือดี ๆ ให้อ่านอีกเยอะ
และผลพลอยได้ที่ตามมา คือ อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์จะแข็งแรงขึ้น"
ในขณะเดียวกัน ชูเกียรติก็ยอมรับว่า รายได้ของบริษัทที่มาจากค่าโฆษณาในนิตยสารนั้น
ก็มีการเติบโตที่ช้าลง เนื่องจากการโฆษณาในวิทยุและโทรทัศน์จะเห็นผลตอบสนองที่ชัดเจนกว่า
ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษารายได้ในส่วนนี้ให้ยังคงอยู่นั้น ก็เป็นหน้าที่ของคนทำงานที่จะต้องหาวิถีทางที่จะเสริมจุดอ่อนตรงนี้…INTERNET
จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกมองข้ามสำหรับผู้บริหารอย่างชูเกียรติ และจากนี้เองที่อมรินทร์ฯ
เริ่มมี HOMEPAGE เป็นของตัวเอง
"INTERNET จะมาเป็นตัวเสริมและสร้างความได้เปรียบให้กับนิตยสารของเรา
เราสามารถทำให้โฆษณาที่อยู่บนหน้าหนังสือของเราไปปรากฏอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ที่สามารถสื่อสารไปทั่วทุกมุมโลกได้
และความแตกต่างที่การโฆษณาในวิทยุ โทรทัศน์ ไม่สามารถทำได้ก็คือ การสัมผัสเพียงปลายนิ้วก็สามารถสั่งซื้อของที่ต้องการได้
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนี้เองที่ทำให้โฆษณาที่ลงกับเรามีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
นับจากนี้ก็จะเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้ลงทุนที่จะซื้อโฆษณากับเรามากขึ้น
และผมคิดว่า ยุคทองของรายได้จากค่าโฆษณาจะกลับมาในไม่ช้า ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า
เราจะสามารถสร้าง HOMEPAGE และสามารถใส่ข้อมูลทาง INTERNET ให้มีคุณภาพและดึงดูดได้มากแค่ไหน
ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง"
แม้ว่าเรื่องราวของอมรินทร์ฯ ที่ชูเกียรติเล่ามาทั้งหมดนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
แล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะเล่าย้ำอีกว่า
"อมรินทร์ฯ เริ่มต้นจากหนังสือเล่มเดียว คือ "บ้านและสวน"
สมัยนั้นเรายังไม่มีโรงพิมพ์เป็นของตัวเอง ต้องไปจ้างคนอื่นพิมพ์ จนในที่สุดก็มีคนชักชวนให้ตั้งโรงพิมพ์เอง
เราก็เริ่มต้นจับงานโรงพิมพ์เป็นครั้งแรกโดยพิมพ์บ้าแนละสวนของเราเอง และใช้เวลาว่างจากการพิมพ์งานของเราเองรับจ้างพิมพ์งานนอกด้วย
และจากวันนั้นเอง เราก็เติบโตมาเรื่อย ๆ แม้จะล้มลุกคลุกคลานบ้างในปีแรก
ๆ "
และเขายังเล่าถึงที่มาของชื่อบริษัท "อมรินทร์" ซึ่งน้อยคนนักที่จะทราบอีกด้วยว่า
"อมรินทร์เป็นชื่อของวัดที่อยู่ใกล้กับที่ตั้งบริษัทของเรา นึกชอบก็เลยอาศัยชื่อวัดมาเป็นชื่อบริษัท
เราก็เลยเดินตามหลังพระมาตลอด"
"การเดินตามหลังพระ" ของชูเกียรติ คงจะหมายถึงการทำธุรกิจอย่างมีศีลธรรม
มีจรรยาบรรณ จึงทำให้ธุรกิจที่เดินเคียงคู่มากับเขาประสบความสำเร็จและก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
นอกจากนี้ "พ่อใหญ่" แห่งอมรินทร์ฯ ยังกล่าวอีกว่า "ธุรกิจหนังสือเป็นธุรกิจที่ไม่มีเพดาน
แต่ธุรกิจนี้จะแข็งแรงแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับจินตนาการและวิสัยทัศน์ของแต่ละบริษัทฯ
คำกล่าวนี้น่าจะประยุกต์ใช้ได้กับทุกบริษัท