กระเบื้องตราเพชร เตรียมเข้าซื้อขายใน ตลท.29 พ.ย.นี้ ด้านผู้บริหารยอมรับเข้าในช่วงภาวะไม่ดี แต่เชื่อมั่นใจปัจจัย พื้นฐานของบริษัทเหนือจองได้ ส่วนกระจายหุ้นให้รายย่อยในส่วน 70% ช่วยเพิ่มสภาพคล่องบริษัท ไม่เชื่อนักลงทุนทุกคนจะขายหุ้นทันที
นายไพฑูรย์ กิจสำเร็จ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กระเบื้องตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยว่า ยอมรับการ เข้าของตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วง ดังกล่าวนั้นไม่ค่อยดี จากภาวะตลาดที่ซบเซา ซึ่งก็อาจะมีผลกระทบกับราคาหุ้นของบริษัทบ้าง แต่บริษัทก็มั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีผลประกอบการที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจาก ประสบการณ์ของผู้บริหารที่ทำอยู่ในธุรกิจวัสดุก่อสร้างมานานเป็นมืออาชีพ ทำให้สามารถเหนือ จองได้
ทั้งนี้ การที่บริษัทมีการจัดสรรหุ้นให้แก่รายย่อยในสัดส่วนที่มาก ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำให้หุ้นของบริษัทมีสภาพคล่อง ส่วนที่มีคนกังวลว่าขายรายย่อยจะขายในวันแรกนั้น ไม่รู้สึกกังวลเพราะในส่วนของ รายย่อยก็มีนักลงทุนรายใหญ่รวมอยู่ด้วย ซึ่งทุกคนคงจะไม่ขายทันที
"บริษัทเสนอขายหุ้นจำนวน จำนวน 40 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 5 บาท ราคาหุ้นละ 7.80 บาท และมีหุ้นจัดสรรส่วน เกิน (กรีนชู) อีกจำนวน 6 ล้านหุ้น โดยได้มีการเปิดจองซื้อหุ้น 16-18 พ.ย. ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก" นายไพฑูรย์กล่าว
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จำนวน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นจะนำไปลงทุนในการเพิ่มสายกำลังการผลิตกระเบื้องคอนกรีต ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 45,000 ตันต่อปี จากขณะนี้ที่มีกำลังการผลิต 98,515 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในไตรมาส 3/49 ลงทุนเพิ่มสายกำลังการผลิตไม้ฝา เสร็จไตรมาส 4/49 ทำให้มีกำลัง การผลิตเพิ่มขึ้นอีก 42,000 ตันต่อปี จากขณะนี้ที่มี 16,684 ตันต่อปี และลงทุนออกผลิตภัณฑ์กระเบื้องซีเมนต์ไม่มีใยหิน ซึ่งมีกำลังการผลิต 18,000 ตันต่อปี เสร็จไตรมาส 3/48 และบางส่วนจะนำไปชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น จากขณะนี้ที่มีประมาณ 100-400 ล้านบาท
นายไพฑูรย์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่า ปี 49 จะมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 2,200 ล้านบาท ซึ่งโตตามอุตสาหกรรมอสังหาฯที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่างที่ยัง มีความต้องการที่สูงอยู่ ถึงแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตาม และใน ส่วนของตลาดซ่อมบำรุง และการเปลี่ยนกระเบื้อง (Replacement) ก็มีสัดส่วนความต้องการที่สูง และบริษัทก็จะได้รับผลประโยชน์ทางสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะทำให้มีการสร้างที่อยู่อาศัยมากขึ้น ในบริเวณดังกล่าว โดยบริษัทจะรักษาอัตรากำไรขึ้นต้นปีนี้ที่ 29%
ทั้งนี้ ในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะสร้างคลังสินค้าในต่างจังหวัดเพื่อที่จะสามารถส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าได้สะดวกมากขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา และจะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัท ซึ่งหากบอร์ดอนุมัติก็จะเริ่ม สร้างที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน และบริษัทจะรักษาการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศที่ระดับ 5% เพราะยังมีอัตราการเติบโตที่สูง ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังทำตลาด ที่ประเทศไต้หวัน ซึ่งหากประสบความสำเร็จบริษัทก็จะมีการขายตรง เป็นประเทศแรก เพราะมีระยะขนส่ง ที่ใกล้จากเดิมที่บริษัทส่งออกไปยัง เขมร ลาว โดยให้ตัวแทนจัดจำหน่ายเป็นผู้ส่ง
|