Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2540
อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย พัฒนาไปถึงไหนแล้ว?             
 

 
Charts & Figures

กำลังการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย


   
www resources

โฮมเพจ ฟอร์ด ในประเทศไทย
โฮมเพจ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
Toyota (Thailand) Homepage
โฮมเพจ เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย)
Mitsubishi Motors Homepage
โฮมเพจ อีซูซุ มอเตอร์ ประเทศไทย

   
search resources

ฟอร์ด มอเตอร์
โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย, บจก.
ฮอนด้า มอเตอร์
มิตซูบิชิ
เจเนอรัล มอเตอร์
มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย
Automotive
อีซูซุ มอเตอร์ ประเทศไทย, บจก.




หลังจากที่มีการประกาศสร้างฐานการผลิตของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ค่ายต่าง ๆ ในประเทศไทย รวมทั้งการขยับขยายของบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อต่าง ๆ ทำให้เกิดความคึกคักขึ้นมากในตลาดนี้ แม้ว่ายอดขายรถยนต์ในปีนี้จะลดต่ำลงด้วยเหตุผลหลักด้านภาวะเศรษฐกิจ แต่ในระยะยาวนั้น คาดว่าประเทศไทยจะมีอัตราการผลิตรถยนต์สารพัดยี่ห้อเพื่อการส่งออกในอัตราสูงติดอันดับโลก เรื่องโดย กองบรรณานิการ

ย้อนกลับไปดูเมื่อต้นทศวรรษที่ 2530 ซึ่งรถยนต์เริ่มกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในการดำรงชีวิตยุคใหม่ของคนไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น ยอดการจำหน่ายรถยนต์ก่อนหน้านั้นมีไม่ถึงปีละ 100,000 คัน แต่เมื่อเริ่มเข้าทศวรรษ 30 ตลาดรถยนต์มีอัตราการเติบโตปีละ 30% - 50% ขณะที่ยอดจำหน่ายรถเพิ่มขึ้นเป็น 100% เช่น ในปี 2532 นั้นมียอดจำหน่ายรถยนต์ถึงปีละกว่า 200,000 คัน

อย่างไรก็ดี ในปี 2534 - 2535 การเติบโตของยอดขายรถยนต์ได้ลดลงช่วงเวลาหนึ่ง เนื่องมาจากรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุนได้ประกาศปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ โดยประกาศลดภาษีนำเข้ารถยนต์ที่นำชิ้นส่วนแบบน็อกดาวน์มาประกอบในไทย ยกเลิกการห้ามนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป (CBU) เพื่อเตรียมรองรับการเปิดนโยบายการค้าเสรีที่เริ่มมีอิทธิพลต่อการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น

นอกจากนี้ การใช้มาตรการภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT ในปี 2535 ก็ทำให้มีการชะลอการซื้อรถยนต์ด้วยเช่นกัน

แต่หลังจากนั้น ตลาดก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นอีกโดยในปี 2538 มียอดขายรถสูงถึง 571,580 คัน และคาดหมายว่าปี 2539 ยอดขายรถทั้งระบบน่าจะทะลุ 600,000 คัน

ที่ผ่านมา โรงงานผลิตรถยนต์ในไทยจะเป็นของค่ายญี่ปุ่นที่เข้ามาทำตลาดไทยอย่างจริงจัง กับโรงงานของค่ายยุโรป แต่ในปีนี้ ค่ายอเมริกาเหนือเริ่มเข้ามาแล้ว ทั้งฟอร์ด จีเอ็ม และไครสเลอร์ ซึ่งแน่นอนว่าตลาดในประเทศรองรับไม่ไหวแน่ และบริษัทเหล่านี้ต้องมีนโยบายผลิตเพื่อการส่งออกด้วย ดังนั้นจากนี้ไป ทุกค่ายรถยนต์ในไทยจึงต้องหันมาสนใจการดำเนินการ เพื่อการส่งออกควบคู่ไปกับการรักษาส่วนแบ่งตลาดในประเทศสำหรับผู้ที่ครองส่วนแบ่งอยู่แล้ว และผู้ที่เข้ามาขอชิงส่วนแบ่งรายใหม่

มิตซูบิชิผลิตสูงสุดปี 2539

ปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิเป็นค่ายเดียวที่ผลิตรถยนต์ส่งออก โดยรุ่นที่มีการส่งออกไปจำหน่ายนอกประเทศ คือ มิตซูบิชิ L200 หรือ ปิกอัพสตราด้า ซึ่งเกิดจากแรงผลักดันของบริษัทแม่ คือ มิตซูบิชิ มอเตอร์ คอร์ป แห่งญี่ปุ่น ที่ต้องการลดความผันผวนของค่าเงินเยนโดยหันมาเน้นการส่งออกจากฐานการผลิตนอกประเทศญี่ปุ่น

ปัจจุบันกำลังการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิทั้ง 4 โรงงาน คือ ที่ลาดกระบัง 2 แห่ง และที่แหลมฉบัง 2 แห่ง มีกำลังการผลิตรวม 226,000 คัน ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 14 ค่ายที่มีโรงงานประกอบรถยนต์ในไทย

โรงงาน 1 ที่ลาดกระบังจะประกอบรถกระบะมิตซูบิชิ L200 ส่วนโรงงาน 2 ประกอบรถบรรทุกมิตซูบิชิ แคมเตอร์ 6 ล้อ และมิตซูบิชิฟูโซ่ 10 ล้อ โรงงาน 3 ประกอบรถยนต์นั่งทุกรุ่น และโรงงาน 4 ซึ่งเป็นโรงงานแห่งใหม่ที่มีการถ่ายโอนเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นเกือบจะสมบูรณ์แบบจะประกอบปิกอัพ L200 หรือสตราด้า โดยโรงงานแห่งนี้จะมีกำลังการผลิตสูงสุดถึงปีละ 100,000 คัน

โรงงานทั้ง 4 แห่ง เมื่อมีกำลังการผลิตเต็มที่ในปีที่ผ่านมา ทำให้มิตซูบิชิกลายเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีกำลังการผลิตสูงสุดในเวลานี้ รวม 226,000 คัน/ปี แต่เนื่องจากแม้จะมีกำลังการผลิตมาก ทว่ายอดการจำหน่ายในประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ดังนั้น บริษัทจึงต้องเริ่มมุ่งไปที่ตลาดส่งออกเป็นหลัก

โตโยต้าเน้นตลาดในประเทศ รักษาส่วนแบ่งฯ

ด้านบริษัทโตโยต้า ซึ่งเป็นผู้คุมส่วนแบ่งตลาดในประเทศเป็นอันดับหนึ่งนั้น ในปีนี้ (2540) จะมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น ปีละ 240,000 คันจาก 3 โรงงาน คือ สำโรง สมุทรปราการ และที่เกตเวย์

นโยบายของโตโยต้าเน้นเรื่องการคุมส่วนแบ่งการตลาดหรือ MARKET SHARE ในประเทศให้มากที่สุด บริษัทไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการผลิตเพื่อการส่งออก เว้นการส่งออกชิ้นส่วนสำเร็จรูปแบบซีเคดีที่ยังมีอยู่ แต่อยู่ในเงื่อนไขพิเศษระหว่างกลุ่มประเทศในอาเซียน หรือโครงการบีบีซีเป็นหลัก

ฟอร์ด & มาสด้าเน้นส่งออกครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิต

โครงการผลิตร่วมปิกอัพขนาด 1 ตันของฟอร์ด และมาสด้ามีกำลังการผลิตในขั้นต้น 135,000 คัน/ปี เริ่มต้นปี 2540 และถัดจากนั้นอีกปีก็จะเพิ่มเป็น 200,000 คัน ซึ่งเป็นกำลังการผลิตสูงสุด กำลังการผลิตส่วนใหญ่จะเน้นเพื่อตลาดส่งออกราว 50% ที่เหลือจะกระจายให้ตัวแทนจำหน่ายที่จะแต่งตั้งขึ้นใหม่ รวมทั้งดีลเลอร์เดิมของมาสด้าในไทยเป็นช่องทางหลัก

อีซูซุ เพิ่มส่งออกชิ้นส่วนซีเคดี

อีซูซุก็มีการเพิ่มกำลังการผลิตด้วยเช่นกัน โดยจะเพิ่มจากเดิม 120,000 คันเป็นปีละ 150,000 คันในปีนี้ และเป้าหมายต่อไป คือ 180,000 คัน

อย่างไรก็ดี ในเรื่องการส่งออกนั้น บริษัทไม่มีแผนส่งออกในรูปแบบรถทั้งคัน แต่จะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกชิ้นส่วนซีเคดีมากขึ้น

ฮอนด้ายังบุกตลาดไทยเป็นหลัก

หลังการประกาศตั้งสำนักงานใหญ่ในไทยต้นปีที่แล้ว ฮอนด้าก็เริ่มมีนโยบายการตลาดที่เด่นชัดขึ้น โดยเน้นการบุกชิงส่วนแบ่งตลาดในประเทศเป็นด้านหลัก

กำลังการผลิตนั้น เดิมฮอนด้าให้โรงงานบางซัน เจเนอรัล แอสเซมบลีประกอบรถรุ่น แอคคอร์ด ส่วนโรงงานใหม่ที่โรจนะจะมีกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 30,000 คัน/ปี และเพิ่มเป็น 60,000 และ 90,000 คัน/ปีตามลำดับ

นอกจากนี้ ฮอนด้ายังมีการนำเข้ารถรุ่นต่าง ๆ มาบุกตลาดไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็น ลีเจนด์รุ่นใหม่ รถซิตี้คาร์รุ่นใหม่ที่ตั้งราคาเพียง 3.98 แสนบาทเท่านั้น นอกจากนี้ ยังจะมีโครงการแลกเปลี่ยนซื้อขายปิกอัพรุ่นแรกที่จะออกมาจากสายการผลิตของโรงงานประกอบอีซูซุอีกรุ่นด้วย

จีเอ็มชัดเจนให้ไทยเป็นฐานผลิตส่งออก

การเข้ามาของค่ายรถอเมริกันรายนี้ แม้จะมาทีหลังค่ายญี่ปุ่น แต่ยังคงความยิ่งใหญ่ไว้ได้ด้วยการนำเม็ดเงินลงทุนเข้ามาถึง 18,750 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตที่ระยอง ผลิตรถป้อนตลาดอาเซียนปีละ 100,000 คัน และขยายกำลังการผลิตเต็มที่ปีละ 150,000 คัน

การที่จีเอ็มเลือกไทยเป็นฐานการผลิตนั้นเพราะได้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง และที่นี่มีฐานของอุตสาหกรรมนี้อยู่อย่างมั่นคง (จากการเข้ามาปูพื้นฐานของค่ายรถญี่ปุ่น) ดังนั้น จีเอ็มจึงเลือกลงทุนที่ไทยโดยไม่ไปที่ฟิลิปปินส์

การตัดสินใจเข้ามาตั้งโรงงานในไทยของค่ายจีเอ็ม จะทำให้ไทยยกฐานะเป็นประเทศที่มีฐานการผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในอาเซียนในปี ค.ศ. 2000 ด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 1 ล้านคันต่อปี โดยคาดว่าจะผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศราว 70,000 - 80,000 คัน และที่เหลือเป็นการส่งออก

ทั้งนี้ มีรายงานการคาดการณ์เกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ในทวีปเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 2000 ว่ากำลังการผลิตทั้งหมดในทวีปนี้จะมีรวม 11 ล้านคัน มาจากเกาหลี 5 ล้านคัน จีน 3 ล้านคัน ไต้หวัน 8 แสนคัน และประเทศในอาเซียน ได้แก่ ไทย 1 ล้านคัน อินโดนีเซีย 5 แสนคัน และมาเลเซีย 4 แสนคัน

ด้วยกำลังการผลิตขนาดดังกล่าว ไทยจะติดอันดับ 1 ใน 10 ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก โดยอยู่ในอันดับ 8

การก้าวขึ้นสู่อันดับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกนี้มีปัจจัยสำคัญรองรับหลายอย่าง เช่น การมีช่างฝีมือที่มีความสามารถ มีต้นทุนต่ำในการดำเนินการ เช่น ค่าจ้างแรงงานต่ำ ค่าเครื่องจักร และค่าวัตถุดิบอยุ่ในภาวะที่สามารถแข่งขันได้

อย่างไรก็ดี ปัจจัยรองรับเหล่านี้เริ่มมีปัญหา เช่น ซัปพลายช่างฝีมือ วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเริ่มขาดแคลน เพราะความต้องการด้านนี้มีอัตราพุ่งเร็วมาก ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ เปิดเผยว่าการสร้างบุคลากรระดับช่างเทคนิค และวิศวกรในสายงานนี้ถือว่ายังไม่เพียงพอกับความต้องการ แม้ว่าจะมีการผลิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากสถาบันการศึกษาของรัฐและจากบริษัทเอกชน แต่ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี

ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ เริ่มแก้ไขปัญหานี้ด้วยตนเอง โดยมีโครงการจับมือกับสถาบันการศึกษาหลายแห่ง อาทิ ฮอนด้าร่วมมือกับกรมอาชีวะและสถาบันราชภัฎจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลิตช่างเทคนิคไว้รองรับโรงงานประกอบรถยนต์แห่งใหม่ของตน ส่วนค่ายโตโยต้านั้นมีแนวทางหลายรูปแบบในการแก้ปัญหา เช่น สร้างศูนย์ฝึกอบรมของตนเอง ส่วนค่าจีเอ็มก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในการจัดสร้างสถาบันการศึกษา เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการผลิตบุคลากร และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านขึ้นมารองรับการตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งมหาวิทยาลัยของจีเอ็ม (ชื่อ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งชาติ ที่มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี) ยังมีบทบาทเป็นศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร และให้บริการข่าวสารข้อมูลเครือข่ายของจีเอ็มในประเทศต่าง ๆ แถบเอเชีย-แปซิฟิกด้วย เป็นต้น

อีกปัญหาหนึ่ง คือ เรื่องค่าจ้างแรงงานที่เคยมีราคาถูก ปรากฎว่าในวันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เนื่องจากไทยมีค่าครองชีพสูงขึ้นตลอดเวลา และมีอัตราเงินเฟ้อสูงด้วย

ส่วนเรื่องขั้นตอนด้านศุลกากร เช่น ความซับซ้อนของระบบภาษี และขั้นตอนการส่งออกรถที่ต้องมีการส่งบัญชีรายละเอียดการส่งออกล่วงหน้าไปมาให้กรมการขนส่งทางบกตรวจสอบก่อนที่จะส่งออก ซึ่งเป็นการเสียเวลาในการปฏิบัติมาก และไม่เอื้ออำนวยความสะดวกต่อกระบวนการนำเข้าส่งออกยังเป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ละเลยไม่ได้ นอกเหนือไปจากระบบการเก็บข้อมูลสารสนเทศที่ภาครัฐยังพัฒนาได้ไม่ดีพอ

นอกจากนี้ ยังปรากฏว่า ภาครัฐยังไม่มีนโยบายหรือมาตรการชัดเจนในการสนับสนุนให้สินค้ารถยนต์เป็นสินค้าหลักในการส่งออก ซึ่งนี่ถือเป็นประเด็นสำคัญในการดูว่าภาครัฐคิดอย่างไรกับทิศทางการส่งออกสินค้ารถยนต์ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย

ลักษณะการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผ่านมา มี 2 ประเภท คือ

1) ส่งออกในรูปแบบรถยนต์สำเร็จรูปไปยังประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป และกลุ่มประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก (ตัวเลขเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2539 มีการส่งออกรถยนต์ ประมาณเดือนละ 1,000 - 1,500 คันต่อเดือนเท่านั้น ส่วนจักรยานยนต์มีการส่งออกเดือนละประมาณ 10,000 คันต่อเดือน)

2) เป็นศูนย์กลางการส่งออกชิ้นส่วนซีเคดี ซึ่งกลุ่มอาเซียนจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะการส่งซีเคดีไปอินโดจีน

แม้ว่าจะมีการพูดกันมากว่าฐานการผลิตรถยนต์ในไทยนั้น เป็นเพียงฐานที่มีเทคโนโลยีในการประกอบรถยนต์เท่านั้น ยังไม่ใช่เทคโนโลยีการผลิตที่แท้จริง แต่บทบาทนี้ก็ช่วยให้ภาคการผลิตของประเทศขยายตัวได้มาก (มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ถึงปัจจุบันจำนวน 312 โครงการ มูลค่าการลงทุน 9.95 หมื่นล้านบาท จ้างแรงงานกว่า 5,000 คน) ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อที่ดีประเด็น คือ มาตรการส่งเสริมที่รัฐต้องเร่งพิจารณาต่อว่าจะให้อุตสาหกรรมนี้มีบทบาทใดกันแน่

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us