|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
นักวิเคราะห์ชี้ปัจจัยไม่เชื่อถือรัฐบาลกดดัชนีหุ้นไทยทรุดยาวถึงสิ้นปี หลังปัญหาต่างๆ มาจากรัฐบาลทั้งสิ้น ท่ามกลางปัญหาขัดแย้งการเมือง-สังคมยังคุกรุ่น นักลงทุนสถาบันใน-นอกประเทศ ไม่เชื่อถือโครงการเมกะโปรเจกต์รัฐบาล เหตุไม่ชัดเจน นโยบายบาร์เตอร์เทรดเป็นไปไม่ได้ ขณะที่ 7 กสช.ล่มกระทบหุ้นสื่อสาร บันเทิง รอลุ้นอำนาจ กทช.แทน "พัฒนสิน" แนะเลี่ยงลงทุนกลุ่มบันเทิงรอความชัดเจน
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (24 พ.ย.) ยังคงซบเซาต่อเนื่องจากวันก่อน โดยตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ก่อนปิดที่ 669.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.58 จุด หรือ 0.09% โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 670.37 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 665.34 จุด มูลค่าการซื้อขาย 8,453.38 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 373.60 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 169.82 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 543.42 ล้านบาท
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการสายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนยังไม่สดใส เนื่องจากตลาดหุ้นยังได้รับแรงกดดันจากประเด็นทางการเมืองระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งนี้ แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยวันนี้ (25 พ.ย.) คาดว่าหากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มชัดเจนขึ้นน่าจะส่งผลทำให้ภาวะตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่ถ้าไม่ชัดเจนก็อาจจะเป็นประเด็นที่กดดันดัชนีฯ ต่อ
กสช.ล่มหุ้นสื่อสารทรุด
ด้านหุ้นสื่อสารวานนี้ปรับตัวลดลง หลังจากศาลปกครองกลางตัดสินเพิกถอนประกาศสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องรายชื่อคณะกรรมการสรรหา กสช. จำนวน 17 คน เนื่องจากกระบวนการสรรหาไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็น กสช. 14 คน รวมทั้งผู้ได้รับเลือกเป็น กสช. 7 คนถูกล้มเลิกไป
ทั้งนี้ ดัชนีกลุ่มสื่อสารปรับลดลงมากที่สุด โดยดัชนีปิดที่ 96.14 จุด ลดลง 1.27 จุด หรือ 1.30% มูลค่าการซื้อขาย 845.84 ล้านบาท
หุ้น SAMART ปรับลดลงมากสุดปิดที่ 6.70 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ 2.90% มูลค่าการซื้อขาย 19.31 ล้านบาท ส่วนหุ้น ADVANC ปิดที่ 99.50 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 2.45% มูลค่าการซื้อขาย 172.14 ล้านบาท
นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มบันเทิงก็ปรับลดลงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น RS ราคาปิดที่ 11.00 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 2.65%, หุ้น WORK ราคาปิดที่ 17.50 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ 1.13% หุ้น GRAMMY ราคาปิดที่ 11.80 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.84%
บทวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กรณี กสช.ล้มถือเป็นปัจจัยลบต่อการลงทุนในกลุ่มบันเทิง เพราะจะทำให้การกำหนดกรอบการดำเนินงาน และแผนแม่บท (Master Plan) ในการดำเนินธุรกิจโทรทัศน์และวิทยุของผู้ประกอบการในกลุ่มบันเทิงไม่มีทิศทางที่ชัดเจน โดยเฉพาะการขอใบอนุญาตใหม่
คาดว่ากรณีดังกล่าวจะมีความยืดเยื้อและจะมีผลลบต่อกลุ่มบันเทิงโดยรวม จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะสั้น จนกว่าจะมีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ประเมินว่า ธุรกิจโทรคมนาคมที่น่าจะได้รับผลกระทบได้แก่ ธุรกิจเคเบิลทีวี ธุรกิจวิทยุเฉพาะกิจเพื่อการชุมชน เป็นต้น แต่ผลกระทบจะไม่เกิดขึ้นต่อการประมูลคลื่น 3G
ส่วนนักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ในส่วนของใบอนุญาตโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G (คาดว่าทุกราย-ADVANC, TAC, TAO) จะขอนั้น บริษัทจะต้องขอความถี่ใหม่ด้วย ขณะนี้ยังไม่มีการสรุปแน่ชัดว่าการจัดสรรความถี่ สามารถพิจารณาโดย กทช. ได้เลย หรือต้องพิจารณาร่วมกันระหว่าง กทช. และ กสช. หากจะต้องพิจารณาร่วมกันระหว่าง กทช. และ กสช. แล้ว อาจทำให้การเริ่มดำเนินงานของระบบ 3G ภายใต้ใบอนุญาตใหม่ล่าช้าออกไป (เดิมผู้บริหารของ ADVANC คาดว่าจะได้ใบอนุญาตภายในกลางปีหน้า และใช้เวลาอีกราว 6 เดือนก่อนเริ่มให้บริการ) อย่างไรก็ดี เรายังไม่รวมการลงทุน 3G ในการคำนวณของเรา
รัฐขาดความน่าเชื่อถือ
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ซบเซาลงต่อเนื่อง ขณะนี้จึงมีการระบุว่าไม่ใช่ประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองเท่านั้นที่เป็นปัจจัยลบ แต่ปัจจัยลบสำคัญยังเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือของรัฐบาลที่ลดหายลงทุกขณะนอกเหนือจากประเด็นที่มีตลาดหลักทรัพย์คุมเข้มการเก็งกำไรนักลงทุนรายใหญ่
นักวิเคราะห์ บล.นครหลวงไทย เปิดเผยว่า ปัญหาต่างๆ ที่กระทบตลาดหุ้นจะมาจากตัวรัฐบาลเอง ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบที่เด่นชัดหลังจากตลาดสะท้อนข่าวลือการรัฐประหารไปแล้ว แต่ยังเห็นว่าเรื่องของการไม่เชื่อถือรัฐบาลจะเป็นปัจจัยหลัก และจะเป็นปัจจัยลบเพียงข้อเดียวที่จะกดดันตลาดอย่างรุนแรงในสิ้นปีนี้ โดยยังให้ถือเงินสดสำหรับกลยุทธ์หลัก ในขณะที่กลยุทธ์รอง คือ เลือกเก็งกำไรรายตัวระยะสั้น
"บรรยากาศการลงทุนได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลต่อเนื่องจากเรื่อง กฟผ. และเรื่อง ความไม่โปร่งใสต่างๆ ของรัฐบาลที่ประชาชนส่วนหนึ่งยังสงสัยอยู่ เหล่านี้เป็นเหตุให้ตลาดยังปกคลุมด้วยปัจจัยลบ และน่าจะต่อเนื่องถึงสัปดาห์หน้า"
|
|
 |
|
|