ในปีนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ก็กลับมาชิงตำแหน่งธนาคารแห่งปี 2539 จากการจัดอันดับของวารสารทางการเงินการธนาคาร
และถือได้ว่าเป็นการครองตำแหน่งนี้เป็นสมัยที่ 5 หลังจากที่เคยได้รับตำแหน่งไปเมื่อปี
2531-2534
การที่แบงก์ไทยพาณิชย์กลับมาทวงแชมป์ได้อีกครั้ง เป็นผลสืบเนื่องมาจากความสามารถด้านการตลาดและการจัดการทั่วไปที่เป็นอันดับ
1 ทั้ง 2 ด้าน โดยในแง่การตลาด ธนาคารไทยพาณิชย์มีอัตราการขยายตัวของสาขาอย่างต่อเนื่อง
โดยมีการขยายสาขาถึง 51 สาขา มากที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ นอกจากนั้น การติดตั้งเครื่องกดเงินอัตโนมัติ
หรือเอทีเอ็ม ถือว่าเป็นอันดับสองรองจากธนาคารกรุงเทพโดยไทยพาณิชย์มี 123
เครื่อง ส่วนของธนาคารกรุงเทพมี 227 เครื่อง
นอกจากนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ยังสามารถที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสาขาได้
ในแง่ปริมาณเงินฝากต่อสาขา เดิมเคยทำได้เฉลี่ย 74.44 ล้านบาท ก็เพิ่มขึ้นเป็น
181.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 107%
ขณะเดียวกันในแง่สินเชื่อต่อสาขาเพิ่มจาก 122.46 ล้านบาท เป็น 204.99 ล้านบาท
หรือมีอัตราการเติบโตถึง 67.37% ตัวเลขดังกล่าวเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า
จุดขายหรือสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์มีเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลจากการปรับรูปแบบงานขององค์กรของธนาคารเป็นระบบ
CBPM (CUSTOMER BASED BUSINESS PROCESS MANAGEMENT) ที่ยึดเอาลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ
โดยสาขาแต่ละแห่งจะต้องเป็นผู้ที่กำหนด วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ที่รับผิดชอบ
รวมถึงวิเคราะห์สินค้าผลิตภัณฑ์ที่จะตอบสนองกลุ่มลุกค้าและออกไปทำตลาดตามที่ได้วิเคราะห์ไว้
ในแง่การจัดการทั่วไป ธนาคารไทยพาณิชย์มีการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างมาก
ขณะเดียวกันก็มีการปรับปรุงองค์กรและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคต
สำหรับผลประกอบการช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2538 ธนาคารไทยพาณิชย์สิ้นสุดวันที่
30 กันยายน 2539 มีกำไรหลังหักภาษี 2,333.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาจำนวน
339.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็น 17.03%
ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 6.13 บาท หรือเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน
16.98% สำหรับสินทรัพย์ที่เป็นเงินสดและเงินฝากกับสถาบันการเงินมีทั้งสิ้น
13,456 ล้านบาทเศษ
ซึ่งวิชิต อมรวิรัตน์สกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสสายงานเทคโนโลยี ของธนาคารไทยพาณิชย์เคยกล่าวกับผู้จัดการรายเดือนไว้ว่า
"ในแต่ละปีเราลงทุนเรื่องการพัฒนาคนและเทคโนโลยีสูงมาก โดยเฉพาะในระยะ
2-3 ปีมานี้ เราลงทุนในเรื่องการฝึกอบรมและเทคโนโลยีประมาณ 40% ของค่าใช้จ่ายรวม
หรืออาจจะมากกว่า ซึ่งสูงมากนะครับ อาจจะมากที่สุดในกระบวนธนาคารทั้งหมดก็เป็นได้"
ทางด้านเป้าหมายสำคัญในอนาคตของธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ก็คือการปรับปรุงองค์กรให้เป็นรูปแบบของ
LEARNING ORGANIZATION ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นองค์กรที่กระตุ้นการเรียนรู้ และเกิดการถ่ายทอดงานระหว่างบุคลากรในองค์กรอย่างที่ไม่มีสะดุด
และทำให้เกิดองค์กรที่สามารถสร้างคน ขณะเดียวกันคนก็จะมาช่วยสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง
ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสสายงานเทคโนโลยี บอกว่า "ในความเป็นจริงแล้ว
นี่ก็ถือว่าเป็นการรีเอ็นจิเนียริ่งอย่างหนึ่งเหมือนกันแต่วิธีการอาจจะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดฯ
ทางด้านแนวคิดหรือรูปแบบของ LEARNING ORGANIZAITON นั้น ดร.โอฬารเคยกล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า
ตนได้รับอิทธิพลมาจากแนวการคิดการบริหารของ ปีเตอร์ เซงกี้ ซึ่งปีเตอร์ เซงกี้นี้ถือได้ว่าเป็นศิษย์สถาบันเดียวกันกับ
ไมเคิล แฮมเมอร์ ผู้เป็นต้นตำรับแนวคิดเรื่องรีเอ็นจิเนียริ่ง
"แต่ถึงแม้ทั้งปีเตอร์ เซงกี้ และไมเคิล แฮมเมอร์ จะจบการศึกษามาจากที่เดียวกันและเป็นผู้โด่งดังในฐานะเจ้าของแนวคิดทฤษฎีด้านการบรหารงานสมัยใหม่ด้วยกันทั้งคู่
แต่ว่ากระบวนการของการแปรสภาพองค์กรให้กลายเป็น LEARNING ORGANIZATION กับองค์กรที่ทำ
RE-ENGINEERING นั้น ก็มีรากฐานและแนวความคิดและวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกันอยู่มาก"
แต่ว่าขณะนี้สถาบันการเงินในประเทศไทยได้นำแนวคิดทั้งสองรูปแบบมาใช้ปรับปรุงกระบวนการทำงาน
โดยซีกของธนาคารกสิกรไทยก็นำเอาเรื่องรีเอ็นจิเนียริ่ง มาใช้จนถือว่าเป็นรายแรกในประเทศไทย
ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ ก็มาใช้เรื่องของ LEARNING ORGANIZATION เป็นอันดับแรก
ๆ เช่นกัน ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารรายหนึ่ง กล่าวให้ฟังตอนหนึ่งถึงการสนทนากัน
ในระหว่างผู้บริหารระดับสูงว่า
"สิ่งที่ธนาคารมุ่งเน้นที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในปีหน้าก็คือ การเป็นธนาคารที่มีการบริหารการจัดการดีที่สุดในทุก
ๆ ด้านทั้งบุคลากร เทคโนโลยี กำไร อัตราการเติบโต และวางเป้าหมายว่าพยายามรักษาระดับการเติบโตให้ได้เฉลี่ยปีละ
20%"
กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ ยังกล่าวต่อไปถึงนโยบายที่จะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของพนักงานทั้งระดับปฏิบัติการ
และระดับบริหารว่ามีด้วยกันอยู่หลายส่วน เช่น ล่าสุดได้มีการตกลงร่างสัญญาไปแล้วกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดยคณะเศรษฐศาสตร์และบัญชี เพื่อจะร่วมกันเปิดสอนทางด้านเอ็มบีเอในระดับบริหาร
ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ในปีการศึกษาหน้า
สำหรับที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ คือ การร่วมกับมหาวิทยาลัยพายัพ ที่เชียงใหม่เปิดสอนวิชาทางด้านการบริหาร-การเงิน
"โดยเราให้ความรู้ทางด้านเทคโนโลยี และคอยเสนอแนะว่า ทางด้านการเงินตอนนี้ต้องการบุคลากรแบบไหน
เพื่อเขาจะผลิตได้สอดคล้องกับตลาดแรงงานจริง ๆ บางทีเราไปเซ็ทวิชาที่จะสอนให้ด้วยโดยที่สถาบันไม่ต้องเสียอะไรเราออกให้ทุกอย่าง
มหาวิทยาลัยก็เก็บค่าหน่วยกิตไปฟรี ๆ ส่วนนักศึกษาที่เรียนวิชานี้และใกล้จบเราจะรับสมัครมาทำงานที่ธนาคารเลย
โดยให้ผลตอบแทนสูงกว่าทั่ว ๆ ไปประมาณ 10%"
นอกจากนั้น ก็ยังมีที่ส่งไปอบรมและดูงานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง หลังจากที่ทำงานไปได้ระยะหนึ่ง
และระดับบริหาร ซึ่งขณะนี้ทางธนาคารส่งเสริมที่จะให้พนักงานมีการเรียนรู้อะไรใหม่
ๆ อยู่ตลอดเวลา
สำหรับบทบาททางด้านการเป็นประธานสมาคมของสมาคมธนาคารไทยนั้น ในปีนี้ มีเรื่องที่จะมุ่งเน้นใน
2 ประการหลัก คือ เรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะระยะ 1-2 ปีมานี้ สาขาของธนาคารต่าง
ๆ ถูกปล้นกันบ่อยมากและไม่สามารถจับผู้ร้ายได้ แม้ส่วนใหญ่จะมีโทรทัศน์วงจรปิดอยู่แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก
โดยที่สมาชิกสมาคมทั้งหมดจะหามาตรการร่วมกันเพื่อช่วยตัวเอง หรือลดความถี่ให้น้อยที่สุด
และอีกเรื่องก็คือ การส่งเสริมด้านความรู้และวิทยากรใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน
เป็นการแชร์ความรู้เพื่อพัฒนาองค์กร