ในช่วงรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นช่วงที่ผู้คนส่วนใหญ่ลงมติว่า
เศรษฐกิจของประเทศกำลังถูกย่ำยีอย่างหนัก ภาพพจน์ของผู้นำประเทศติดลบลงเรื่อย
ๆ แต่ในขณะเดียวกันบทบาทของคน ๆ หนึ่งก็โดดเด่นขึ้นมาในช่วงนี้เอง "เด่น"
จนหาตัวจับยาก ด้วยบทบาทที่สวมอยู่มากมายหลายด้าน เขาทำได้อย่างไร และทำได้ดีแค่ไหน
หลายคนเตือนว่า ระวังจะเล่นผิดบท!! ดร.โอฬาร ไชยประวัติ!!
เล่นหลายบททั้งภาครัฐและเอกชน ระวังจะงงไปกันใหญ่
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ชื่อของ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับมาตรการสำคัญ
ๆ ในการช่วยเหลือเศรษฐกิจของทางการเกือบจะทุกเรื่อง บทบาทของเขาในระยะหลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นับตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมธนาคารฯ คนล่าสุดต่อจาก ดร.สมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ ถ้าพิจารณาโดยภาพรวมแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดนัก
เพราะในเรื่องความรู้ความสามารถนั้นก็มีอย่างล้นเหลือ
แม้กระทั่งผู้เกี่ยวข้องทางการเงินอย่าง เอกกมล คีรีวัฒน์ อดีตเลขาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และอดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ยังเคยกล่าวอย่างจริงใจว่า
"ถ้าถามว่าตอนนี้ใครเก่งพร้อมทั้งเรื่องเศรษฐศาสตร์ การเงิน การธนาคาร
และหุ้น ตอนนี้ผมรับประกันได้เลยว่า ดร.โอฬารติดหนึ่งใน 5 ของระดับเซียน"
นอกจากมีความรอบรู้เรื่องเศรษฐกิจเป็นอย่างดีแล้ว ถือว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สนใจเรื่องการเมืองอย่างใกล้ชิดด้วย
จึงมีข่าวอยู่เสมอ ๆ ว่า ได้ถูกเชิญให้เป็นที่ปรึกษาของนักการเมืองคนนั้นพรรคการเมืองโน้นนี้อยู่บ่อย
ๆ
จะว่าไปแล้ว ดร.โอฬาร มิได้เป็นเพียงที่พึ่งในยามยากที่เกิดภาวะวิกฤตหรือขาดความเชื่อมั่นเท่านั้น
แต่ยังมีบทบาทในการผลักดันมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งทางตรงทางอ้อม
และเมื่อถึงรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา ชื่อของ ดร.โอฬาร ก็ถูกเสนอเข้าเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี
และควบเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บดี จุณณานนท์ ด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง
เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าในขณะนั้น ซึ่งอยู่ในช่วงที่ภาวะเงินเฟ้อสูงถึง
7.4% อีกทั้งตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็ขยับมาที่ 8.1% ของจีดีพี
ทั้งที่ในระยะ 6 เดือนที่ผ่านมานั้น ถือว่าธนาคารแห่งประเทศไทยประสบความสำเร็จในการใช้นโยบายการเงินคุมเข้ม
รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจได้ดี ทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
จาก 7.4% เมื่อปลายปี 2538 มาเหลือที่ 5.4% ในเดือน ก.ค. 2539
ในยามที่ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2539 ทำให้นโยบายการตรึงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย
อาจจะกลายเป็นดาบสองคมไปในสายตาของนักธุรกิจ ซึ่งทางหนึ่งที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจพ้นวิกฤตโอเวอร์ฮีทไปได้
แต่ก็ทำให้ธุรกิจของประเทศประสบปัญหาแบกรับต้นทุนที่สูงจนส่งผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกอยู่ในภาวะซบเซา
สถานการณ์ซบเซาของเศรษฐกิจที่กลายเป็นปัญหาการเมืองนี้เอง ที่ทำให้ข้อเสนอของ
ดร.โอฬาร เริ่มเห็นผลมากขึ้น เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจาก
ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย มาเป็น บดี จุณณานนท์ ดร.โอฬารก็ถูกเรียกหาให้มาเป็นที่ปรึกษาตามเคย
"ตอนนี้นโยบายในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่ควรเน้นการควบคุมอุปสงค์
แต่หันมาใช้นโบบายด้านอุปทานได้แล้ว เรื่องคุมดอกเบี้ยตอนนี้อาจจะใช้ไม่ได้ผลเพราะสถานการณ์มันเปลี่ยนไป"
นั่นคือคำกล่าวของ ดร.โอฬาร ที่พูดถึงทฤษฎีการรับมือในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำภายหลังการประชุมตัวแทนของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
6 ราย ในการที่จะช่วยเหลือธุรกิจส่งออก 19 รายที่อยู่ในอาการโคม่า เมื่อ
3-4 เดือนที่ผ่านมาจากการประชุมในครั้งนั้น พอจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า ณ เวลานั้นข้อเสนอของ
ดร.โอฬาร ที่เน้นเรื่องนโยบายด้านปริมาณการผลิตกำลังเป็นจริง
ถ้าจะว่าไปแล้วความสำเร็จครั้งนี้มิเพียงแต่จะเกิดจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เป็นใจเท่านั้น
แต่เพราะ ดร.โอฬาร ไม่เพียงแต่จะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เป็นอันดับ
4 ของประเทศเท่านั้น แต่ถือว่ายังเป็นตัวแทนองสถาบันการเงินอย่างเต็มตัวในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย
ตามด้วยตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังควบมาด้วย
นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนทั้งเวทีการเมืองและเศรษฐกิจ
เช่น การเป็นวุฒิสมาชิก เป็นคณะกรรมการนโยบายเพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น
"ทุกตำแหน่งที่คุณโอฬารได้รับล้วนมีหน้าที่ล้นมือทั้งสิ้น แค่เฉพาะงานที่ไทยพาณิชย์เองสองมือก็จะเอาไม่อยู่แล้ว
แถมตำแหน่งประธานสมาคมธนาคารไทยก็ไม่ใช่น้อย ซึ่งบทบาททุกวันนี้มากกว่าประธานในสมัยก่อน
ๆ เช่น การเข้าช่วยเหลือซื้อหุ้นในธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ (บีบีซี) การมีส่วนร่วมในการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นเพื่อช่วยฟื้นฟูภาวะตลาดหุ้น
รวมถึงการร่วมกันแก้วิกฤตการณ์อุตสาหกรรมส่งออกที่มีปัญหา 19 รายการ"
แหล่งข่าวระดับสูงในธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวให้ความเห็น
และล่าสุดคือปัญหาเกี่ยวกับการขาดสภาพคล่องในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในช่วงต้นเดือน
พ.ย. ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้หารือกับสมาคมธนาคารไทย เพื่อหารือถึงแนวทางการแก้วิกฤตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเร่งด่วน
โดยเฉพาะนโยบายด้านการเงินเพื่อกระทุ้งให้ทางการผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่ดิน
และเป็นการช่วยต่อลมหายใจให้กับธุรกิจอื่น ๆ ด้วย
ในช่วงที่ ดร.โอฬาร เล่นหลายบทเช่นนี้ ทั้งเป็นตัวแทนจากภาครัฐและตัวแทนของภาคเอกชน
ทำให้ในบางครั้งก็มีคำถามเกิดขึ้นจากผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการธนาคารพาณิชย์บ้างเหมือนกัน
เช่น กรณีที่ต้องมีการลงขันของธนาคารทั้ง 14 แห่งเพื่อช่วยฟื้นฟูธนาคารกรุงเทพฯ
พาณิชย์การนั้นมีแหล่งข่าวระดับสูงรายหนึ่งในแวดวงธนาคารพาณิชย์กล่าวด้วยความหงุดหงิดว่า
"การที่สมาคมธนาคารไทยจะต้องลงขันในกองทุนพยุงหุ้น หรือกองทุนฟื้นฟูให้บีบีซีนั้น
สมาชิกส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ในตอนแรกอาจจะเกิดจากประธานสมาคมฯ ไปรับเรื่องมาโดยที่ยังไม่ได้หารือกับสมาชิกเลย
ในแต่ละปีที่มีปัญหาเราต้องลงเงินไปทีละ 700-800 ล้านบาท เราก็เสียดาย แล้วยิ่งถ้าเป็นธนาคารขนาดใหญ่ก็ต้องลงขันมากตามสัดส่วนของสินทรัพย์
ถ้าในภาวะที่เศรษฐกิจดีก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ เราก็ต้องประคับประคองตัวเองอยู่เหมือนกัน
แล้วปีนี้ลงเงินไปตั้ง 3 ครั้ง คือ กองทุนพยุงหุ้น 5,000 ล้านบาท โครงการปล่อยกู้ให้โบรกเกอร์อีก
6,400 ล้านบาท และของบีบีซีอีก 7,000 ล้านบาท รวมแล้วปีนี้พวกเราต้องลงขันทั้งหมด
18,400 ล้านบาท ถึงขนาดบางรายลุกขึ้นคัดค้านก็มี"
แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งในวงการธนาคาร กล่าวเสริมในเรื่องเดียวกันนี้ว่า "บางครั้งเราก็พยายามมอง
ดร.โอฬาร อย่างเข้าใจนะ แต่บางทีก็อดที่จะเกิดคำถามกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ไม่ได้ว่าสับสนหรือไร
เช่น ในฐานะที่ปรึกษาของนายกฯ หรือรัฐมนตรีคลังก็อาจจะถูกขอร้องให้ช่วยเรื่องกองทุนพยุงหุ้น
หรือ บีบีซี แต่ในฐานะประธานสมาคมทหารไทยก็จะถูกสมาชิกขอร้องให้ช่วยมาต่อรองกับรัฐบ้าง
แต่ดร.โอฬารเหมือนอยู่ตรงกลาง โดนอัดมาจากทั้งข้างล่างและข้างบน แต่เพราะรับหลายบทอย่างนี้ภาพมันเลยซ้อนทับกันอย่างแยกไม่ออก"
ดึงธารินทร์คืนรัง หวังรีเอ็นจิเนียริ่งรอบใหม่
การรับหลายบทบาทเช่นนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดคำถามเฉพาะกรณีของสมาคมธนาคารไทยเท่านั้น
แต่เคยมีคำถามในหมู่นักการเงินด้วยกันบ้างประปราย ในลักษณะที่การเป็นข่าวของ
ดร.โอฬาร ในรอบ 3-4 เดือนที่ผ่านมาว่าทำอย่างไรถึงได้เป็นข่าวได้ทุกวัน
ภาวะงานล้นมือของ ดร.โอฬาร ในระยะหลังคงเข้าตาคณะกรรมการของธนาคารไทยพาณิชย์
จนกระทั่งการประชุมคณะกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งมีประจิตร ยศสุนทร เป็นประธานกรรมการบริหาร
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมาได้ลงมติแต่งตั้งให้ธารินทร์ นิมมานเหมินท์
กรรมการของธนาคารฯ และเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่คนก่อนหน้าของธนาคารไทยพาณิชย์
และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้มาดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร โดยมีผลตั้งแต่วันที่
1 ก.ย. 2539 เป็นต้นไป
เหตุผลของประจิตร ในการดึงธารินทร์ มาคืนรังนั้น เขาบอกเพียงคร่าว ๆ ว่าที่ประชุมคณะกรรมการของธนาคารฯ
เห็นว่า ธนาคารพาณิชย์กำลังเผชิญหน้าสู่ความยากลำบากในการบริหารงาน ขณะที่
ดร.โอฬาร เองก็มีงานล้นมือทั้งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และยังสวมหมวกหลายใบในเวทีการเมือง
"นอกจากนี้ บทบาทของประธานสมาคมธนาคารไทยยังมีภารกิจมากมาย จึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างให้เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารแบงก์
และแบงก์เองก็มีธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย"
แหล่งข่าววงในรายหนึ่งในธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การแต่งตั้งธารินทร์
เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของธนาคารฯ นั้น เนื่องจากขณะนี้ธนาคารฯ และกิจการในเครือทั้งหมดอยู่ระหว่างการเตรียมปรับโครงสร้างการบริหารงานภายในหรือรีเอ็นจิเนียริ่งรอบใหม่
จึงต้องมีการจัดสรรบุคลากรให้เหมาะสมกับสายงาน
โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริหารระดับสูง จำเป็นต้องปรับโครงสร้างการบริหาร เพื่อแบ่งแยกสายงานความรับผิดชอบออกเป็น
2 สายประกอบด้วยสายธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และสายธุรกิจการลงทุนหรือบริหารกิจการในเครือ
สำหรับโครงสร้างที่จะปรับเปลี่ยนใหม่นั้น สายธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะมี ดร.โอฬาร
เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการบริหารงานของธนาคารฯ ทั้งหมด ขณะที่ในด้านธุรกิจการลงทุนและบริหารกิจการในเครือของธนาคารฯ
นั้น ธารินทร์จะเข้ามารับผิดชอบดูแลการลงทุนของธนาคารฯ และกิจการในเครือต่าง
ๆ เช่น การร่วมทุนในบริษัทสยามอินโฟร์เทนเมนท์ หรือสถานีโทรทัศน์เสรีไอทีวี
เหตุผลที่ต้องมีการปรับโครงสร้างของธนาคารครั้งนี้ ก็เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
รวมทั้งเพื่อให้งานของธนาคารฯ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้ที่เข้ามาดูแลอย่างเหมาะสม
"ประกอบกับกรรมการผู้จัดการใหญ่เองก็ค่อนข้างมีงานล้นมือ หากจะให้รับผิดชอบทั้งหมดก็อาจจะหนักเกินไป
อาจจะทำให้งานไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร
การที่คุณธารินทร์เข้ามาจะมาช่วยกำหนดทิศทางและนโยบายการบริหาร ซึ่งจะทำให้กิจการทั้งเครือของค่ายไทยพาณิชย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพื่อรับมือกับการแข่งขันของธุรกิจการเงินที่มีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ"
แหล่งข่ายรายเดิมกล่าว
การเข้าร่วมบริหารงานของธารินทร์ครั้งนี้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับคณะกรรมการของธนาคารฯ
มาก แม้ว่าสไตล์การบริหารงานของ ดร.โอฬาร กับธารินทร์ จะแตกต่างกันมาก แต่เชื่อว่า
จะผสมผสานกันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีผู้ช่วยบริหารมือดีอย่าง ชฏา วัฒนศิริธรรม
รองผู้จัดการใหญ่ และประกิต ประทีปะเสน กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ร่วมบริหาร
ยิ่งทำให้ทีมบริหารของธนาคารไทยพาณิชย์มีประสิทธิภาพและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
สำหรับความเห็นของ ดร.โอฬาร ในการกลับมาคืนรังครั้งนี้ของธารินทร์นั้นเป็นสิ่งที่ดี
"ทำไมทุกคนต้องมองว่าเป็นเรื่องแปลก ในเมื่อคุณธารินทร์ก็เป็นคนเก่าแก่ของที่นี่
และยังคงเป็นบอร์ดของธนาคารอยู่ ซึ่งตอนนั้นยังไม่สมัคร ส.ส. ก็ว่างอยู่
คนดีมีความรู้ความสามารถเราควรจะฉกฉวยไว้ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนอื่นจะชวนไปทำงานให้มาเป็นคู่แข่งเรา
ทำไมงานที่ไทยพาณิชย์มีเยอะแยะก็มาช่วย ๆ กันก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ตอนนี้คุณธารินทร์ไปเล่นการเมืองอาจจะหยุดไปสักระยะก่อนแล้วอาจจะกลับมาใหม่พวกเราทุกคนที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ"
ดร.โอฬาร กล่าวด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส
เมื่อธารินทร์ตัดสินใจไปเล่นการเมืองในครั้งนี้ บทบาทที่ไทยพาณิชย์จำต้องยุติไว้ชั่วคราวก่อน
สำหรับผู้ที่จะไปดูแลแทนนั้นขณะนี้ยังไม่มี เพียงแต่ส่งผู้บริหารไป แต่ระดับบอร์ดนั้นอาจจะต้องพิจารณาดูใหม่หรือไม่อย่างนั้น
ดร.โอฬารอาจจะต้องรับหน้าเสื่อแทนไปก่อนและทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ
เปิด 4 กลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจฟุบปีหน้า
เปิดใจ ดร.โอฬาร ถึง 4 กลยุทธ์แก้เศรษฐกิจซบเพื่อเตรียมรับมือและไปแข่งขันกับตลาดโลกเพราะมั่นใจว่าใช้นโยบายการเงินอย่างเดียวอาจไม่ได้ผล
เนื่องจากตอนนี้ดีมานด์มีมากกว่าซัปพลาย แถมยังอยู่ในช่วงของเศรษฐกิจชะลอตัว
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่มีความทันสมัยระดับชาติในการที่จะแก้ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
สำหรับกลยุทธ์ 4 ข้อที่ควรจะยึดปฏิบัติไว้ คือ ประการแรก ต้องมีการเร่งรัดการส่งออก
เมื่อสิบปีที่ผ่านมา การส่งออกมีการขยายตัวสูงมาก ซึ่งขณะนั้นไม่มีใครทราบว่าสาเหตุที่แท้จริงแล้วอะไรที่ทำให้การส่งออกขยายตัวปีละไม่ต่ำกว่า
10-15%
ดร.โอฬาร กล่าวชี้แจงว่า "ปีนี้จึงตั้งเป้าการส่งออกให้โตในระดับ 18%
โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีที่ 11 นี้ยังไปได้ดี โอกาสผิดพลาดมีน้อยซึ่งตอนแรกช่วงต้นปี
ผมก็คิดว่าน่าจะขยายตัวได้เช่นนั้น แต่เมื่อการส่งออกในไตรมาสแรกของปีออกมาแค่
5% แสดงว่ามีอะไรผิดปกติ ผมจึงเริ่มเตือนว่าเราคงจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อรับมือกันไว้บ้างแล้ว
อะไร ๆ คงไม่สดใสเหมือนอย่างเคยซะแล้ว"
บิ๊กบอสแบงก์ไทยพาณิชย์ ขยายความต่อไปว่า ณ ระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ไม่ได้สูงอย่างปีที่ผ่านมา
ข้อสมมุติฐานของสภาพเศรษฐกิจที่ดีมานด์มากกว่าซัปพลายและใช้นโยบาย DEMAND
MANAGEMENT โดยใช้ดอกเบี้ยแพงเริ่มไม่ได้ผลตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว เพราะขณะนี้ปัญหาดีมานด์มากกว่าซัปพลายในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว
ซึ่งจะต่างกับเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาที่ดีมานด์มากกว่าซัปพลายในภาวะเศรษฐกิจขยายตัวสูง
ดังนั้น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจากโจทย์ที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว นโยบายการเงินจึงใช้ไม่ได้ผล
ก็ต้องมาหาวิธีแก้ปัญหามาสู่อีกด้านหนึ่ง คือ ด้าน SUPPLY SIDE นั่นคือ ในเรื่องของประสิทธิภาพการผลิต
โดยที่จะดูได้จากสินค้าส่งออก 42 รายการ เพื่อหาปัญหาตัวเลขที่ออกมาบ่งบอกได้อย่างชัดเจนในกลุ่ม
ที่ส่งออกดีขยายตัวเพิ่มถึง 15% ขณะที่กลุ่มที่มีความซบเซามีด้วยกัน 18 รายการ
มีการส่งออกลดลงถึง 20% ทั้ง ๆ ที่ผลิตในประเทศเดียวกัน สภาพเดียวกัน ตลาดเดียวกัน
แต่ผลประกอบการของสินค้า 2 กลุ่มนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จึงมีข้อสรุปออกมาชัดเจนว่า ความสามารถในการแข่งขันของแรงงานไทย ไม่สามารถผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปแข่งขันกับประเทศเพื่อน
และในตลาดโลกได้ ซึ่งก็ต้องมาหาสาเหตุให้ได้ว่าไทยแข่งขันไม่ได้เพราะอะไร
เพราะเทคโนโลยีต่ำ หรือไทยไม่ได้ปรับสินค้าให้มีมูลค่าสูงขึ้น หรือคู่แข่งผลิตของเก่งกว่าไทย
และหรือประเทศคู่ค้ากีดกันไทย เป็นต้น
ดร.โอฬาร เล่าให้ฟังต่อไปว่า "จากตัวเลขการส่งออกที่ชะลอตัวลง แบงก์ได้มีการศึกษามาตลอดและพอจะแยกแยะแต่ละรายการดูว่า
คงจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพในการแข่งขันที่หมดไปแล้ว จึงทำให้เกิดภาวะตกต่ำ
การแก้ไขต้องดูปัญหาหลักของแต่ละสินค้า และมุ่งแก้ไขปัญหาหลักก่อน เช่น ถ้ามีปัญหาคืนภาษีช้า
ก็ต้องเร่งคืนภาษีให้กับผู้ผลิตเร็วขึ้น"
ส่วนการถ่ายทอดวิธีการแก้ปัญหาจำเป็นจะต้องมีสถาบันกลาง ทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมในการถ่ายทอดกระบวนความสำเร็จ
อาทิ สถาบันมันสำปะหลัง สถาบันสิ่งทอ โดยรัฐบาลต้องสนับสนุนให้เอกชนก่อตั้งและเป็นศูนย์กลางในการที่จะถ่ายทอดความจำเป็นในการปรับตัว
กระบวนการฝึกอบรม การปรับปรุงโรงงานตัวเอง เป็นต้น
ประการที่สอง ต้องมีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ถือว่าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น จะเรียกว่ารุ่งเรืองที่สุดก็เป็นได้
อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโตติดต่อกันมาปีละประมาณ 9-10% ซึ่งตรงข้ามกับปัจจุบันนี้ที่เป็นแนวโน้มขาลง
อีกทั้งมีปัญหาเรื่องการเมืองเข้ามาแทรกแซงทำให้ปัญหาเศรษฐกิจที่ขาดเสถียรภาพอยู่แล้วยิ่งตกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ส่งผลกระทบถึงปัญหาเงินเฟ้อและขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ในความเห็นของ ดร.โอฬาร
นั้นเขาเชื่อว่า ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาดังกล่าว คือ การใช้นโยบายการเงินหรือ
DEMAND MANAGEMENT เพราะเชื่อว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาในขณะนี้มาจากดีมานด์มากกว่าซัปพลาย
เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องมีโอเวอร์ฮีท
เพราะความต้องการของคนในประเทศมีมากกว่าของที่มีในประเทศ โรงงานในประเทศก็โอเวอร์ฮีท
มีเงินเฟ้อและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง เมื่อดีมานด์มีมากเกินไปก็ต้องดึงดีมานด์ให้ต่ำลง
โดยการใช้นโยบายการเงิน คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอการใช้จ่าย และพยายามที่จะเพิ่มซัปพลายขึ้น
โดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อเป็นดังนั้นซัปพลายก็จะเท่ากับดีมานด์หรือมากกว่า
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สถานการณ์ของปัญหาเศรษฐกิจในแต่ละช่วงจะบีบให้ต้องคิดวิธีการใหม่ในการแก้ปัญหา
การแก้ปัญหาแต่ละครั้งจะไม่ตายตัวว่าวิธีนี้จะได้ผลทุกครั้งไป ต้องเลือกให้เหมาะสม
ตามแต่สถานการณ์แต่ละครั้ง การแก้ปัญหาเหมือนกับเป็นพหูพจน์ ว่าจะเลือกแบบไหนให้เหมาะเจาะลงตัว
จับคู่กันให้ถูกสถานการณ์ก็จะคลี่คลายได้
ดร.โอฬาร กล่าวเพิ่มเติมสำหรับการปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมนั้นต้องมีความชัดเจนว่าอุตสาหกรรมใดจะไปได้
และอะไรที่ไปไม่ได้แล้ว ซึ่งพอจะสรุปภาพรวมคร่าว ๆ ไว้ได้ 5 ประเภทด้วยกัน
คือ
1. อุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานไม่สามารถที่จะแข่งขันได้แล้ว
2. อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขนาดกลาง มีแนวโน้มว่าพอจะไปได้
3. อุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสูงต้องพัฒนาคนให้ทันใน 10 ปีข้างหน้า
4. อุตสาหกรรมดั้งเดิม คือ อุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องมีสถาบันกลาง ในการถ่ายทอดความสำเร็จ
5. อุตสาหกรรมบริการต้องใช้แรงงานมาก เทคโนโลยีปานกลางและล้ำสมัย และถ้าเป็นอุตสาหกรรมบริการทางด้านการเงินจำเป็นต้องใช้คนที่มีความรู้ความสามารถมีความเชี่ยวชาญมากกว่าอุตสาหกรรมโรงงาน
ประการต่อมา คือ การส่งเสริมหรือเร่งระดมเงินออมภายในประเทศ ซึ่งทางธนาคารไทยพาณิชย์ก็สนองนโยบายนี้ด้วยดีด้วยการออกบริการเงินฝากระยะยาวปราศจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สำหรับเงินฝากที่มีการฝากเงินประจำเดือนละเท่า ๆ กันไม่น้อยกว่า 24 เดือน
แต่ละเดือนไม่เกิน 25,000 บาท และมีวงเงินฝากรวมไม่เกิน 600,000 บาท ซึ่งล่าสุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา
ได้เปิดตัวบริการดังกล่าว 2 ประเภทด้วยกัน คือ เงินฝากเพิ่มทรัพย์ และเงินฝากวิวาห์เปี่ยมสุข
ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2538 ก็ได้ออกบริการเงินฝากระยะยาวในลักษณะใกล้เคียงกัน
คือ เงินฝากเพื่อการศึกษา และเงินฝากเพื่อการเคหะ ซึ่งเงินฝากระยะยาว ทั้ง
4 รายการได้รับความสนใจเป็นอย่างดี เนื่องจากดอกเบี้ยสูงและบริการเสริมแบบครบครัน
ซึ่งถือว่าธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้บุกเบิกการฝากเงินออมในระยะยาวและมีบริการแบบต่อเนื่องและหลากหลายซึ่ง
ดร.โอฬาร บอกว่า
"ผมเคยพูดไว้ในงานสัมมนาต่าง ๆ หลายครั้งตั้งแต่ช่วยต้นปีที่ผ่านมาว่า
ปีนี้เศรษฐกิจของประเทศจะไม่สดใสเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ระบบการเงินตึงตัว เตือนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
เตรียมรับมือ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนฟังเท่าไหร่ จนเวลาล่วงเลยกลางปีมาแล้ว ถึงเห็นภาพชัดเจนว่า
ปีนี้เศรษฐกิจบ้านเราไม่ดีเลยถึงได้หันมาฟังสิ่งที่ผมพูด"
ประการสุดท้าย คือ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต่างประเทศจากหนี้ระยะสั้นให้เป็นหนี้ระยะยาว
อย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป เพื่อแก้ปัญหาบัญชีเดินสะพัด ซึ่งในความเห็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์นั้นเชื่อว่า
ภายในสิ้นปี 2539 หนี้ระยะสั้นคงลดลงเหลือไม่ถึง 20% เนื่องจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต่างประเทศมันง่ายและเร็ว
"คือมันเป็นการกู้ระหว่างสถาบันกับสถาบัน เช่น ธนาคารกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
มันง่าย และพวกนี้มีความเข้าใจในเรื่องการปรับโครงสร้างทางการเงินเป็นอย่างดี
ไม่เหมือนรายย่อยมากู้จะยุ่งยากกว่า"