Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2548








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2548
กฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย             
โดย ธวัชชัย อนุพงศ์อนันต์
 


   
search resources

Law




สองสามเดือนก่อน ผมมีโอกาสไปเที่ยวเมืองเมลเบิร์นและซิดนีย์เมืองละเจ็ดวัน โดยไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทั้งควรเที่ยวและไม่น่าเที่ยว

ยามสายวันเสาร์ ผมเดินเล่นอยู่ที่ริมอ่าวซิดนีย์ มองไปทางซ้ายเห็นสะพานฮาร์เบอร์ (Harbour Bridge) และเมื่อหันหน้าไปทางขวา ก็เห็นโอเปร่าเฮาส์ (Opera House) เบื้องหน้าเต็มไปด้วยเรือจอดเรียงรายมากมาย พร้อมๆ กับนกนางนวลบินโฉบไปมา

ผมชอบบรรยากาศริมอ่าว เหมือนที่ ผมชอบเดินเล่นไปมาริมอ่าวอื่นๆ ที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือน

ยามสายวันนี้ ผมมิได้เดินเล่นอยู่ริมอ่าวซิดนีย์แล้ว พร้อมกับข่าวพาดหัวไม้บนหน้า หนังสือพิมพ์ว่า ผู้ก่อการร้ายวางแผนที่จะโจมตีสะพานฮาร์เบอร์ และ โอเปร่าเฮาส์

เมื่อสัปดาห์ต้นเดือนพฤศจิกายน รัฐสภาออสเตร เลียพิจารณาแก้ไขกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่งอย่างรีบด่วน คือ กฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการเพิ่มอำนาจให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐบาลทำให้สามารถจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยว่าจะก่อการร้ายต่อประเทศออสเตรเลียได้ง่าย และกว้างขวางขึ้น

คล้อยหลังการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลียทั้งระดับรัฐและระดับประเทศกว่า 400 นาย ก็ได้แสดงผลงานจับกุมผู้ต้อง สงสัยจำนวนถึง 16 คน โดยเข้าค้นที่บ้านพัก ในเมืองใหญ่สองเมือง คือ ซิดนีย์และเมลเบิร์น ซึ่งมีการเก็บสะสมสารเคมีที่สามารถใช้ในการ สร้างระเบิด เมื่อเช้าวันที่ 8 พฤศจิกายน 2548 โดยหนึ่งในนั้นเป็นกลุ่มผู้นำศาสนาอิสลามคนสำคัญ โดยทางการออสเตรเลียกล่าวว่า เป็นการขัดขวางแผนการก่อการร้ายครั้งใหญ่ ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศออสเตรเลีย โดยผู้ก่อการร้ายกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของ แผนการก่อการร้ายต่อประเทศออสเตรเลีย

โดย 9 คนถูกจับได้ที่เมืองเมลเบิร์น ซึ่งรวมถึงนาย Adu Bakr ซึ่งเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มเคลื่อนไหวทางศาสนาอิสลาม ในเมืองเมลเบิร์นซึ่งยกย่อง โอซามา บิน ลาเดน ในขณะที่อีก 6 คนถูกจับที่ซิดนีย์

ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลก็บอกว่า ถ้าไม่สามารถจับกุมคนกลุ่มนี้ได้ อาจจะเกิดการก่อการร้ายในระดับเดียวกับที่เกิดขึ้นที่สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงลอนดอน และสถานีรถไฟที่กรุงมาดริด ในช่วงที่ผ่านมา

และจากการสอบสวนก็พบว่า ผู้ต้องสงสัยบางส่วนมีความสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายนอกกฎหมายหลายกลุ่ม

อย่างไรก็ดี จากการสืบสวนเบื้องต้นกลุ่มผู้ต้องสงสัยกลุ่มนี้ไม่ได้วางแผนที่จะสร้างความวุ่นวายในการแข่งขันกีฬาคอมมอน เวลท์เกมส์ (Commonwealth Games) ซึ่งเมืองเมลเบิร์นกำลังจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน ในเดือนมีนาคม ศกหน้านี้ แต่การวางแผนเพื่อก่อการร้ายในออสเตรเลียของคนกลุ่มนี้ได้วางแผนมากว่า 18 เดือนแล้ว

หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่รัฐบาล บางคนกล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายอย่างเร่งด่วนเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านั้น มีความสัมพันธ์กับปฏิบัติการขัดขวาง การก่อการร้ายครั้งใหญ่นี้

ซึ่งนายกรัฐมนตรี จอห์น โฮเวิร์ด ก็พูดเป็นนัยในช่วงสัปดาห์นั้นถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์การก่อการร้ายขึ้นในออสเตรเลีย

การเร่งแก้กฎหมายต่อต้านการก่อการ ร้ายของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี จอห์น โฮเวิร์ด ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากหลายๆ ฝ่าย โดยเฉพาะประเด็นการเพิ่มอำนาจ และการครอบคลุมมูลเหตุที่จะนำไปสู่การก่อการร้ายซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ที่จะจับกลุ่มผู้ต้องสงสัยได้มากขึ้น

โดยประเด็นที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด คือ การกำหนดให้การพูดชักจูงหรือกระตุ้นให้ประชาชนกระทำการใดๆ อันเป็นภัยต่อออสเตรเลีย ถือเป็นความผิดตามกฎหมายนี้ด้วย โดยการกระทำใดๆ นี้ รวมถึงการพยายามโค่นล้มรัฐบาล, การก่อความรุนแรงต่อกลุ่มศาสนาหรือกลุ่มเชื้อชาติ, สีผิว หรือการให้ความช่วยเหลือใดๆ ต่อองค์กรที่กำลัง ทำสงครามกับประเทศออสเตรเลียอยู่ ซึ่งทำให้ การแก้ไขครั้งนี้ถูกมองว่า การแสดงสิทธิเสรี ภาพผ่านทางการพูด, เขียน หรือการกระทำ ใดๆ ที่มีนัยว่าจะต่อต้าน หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล ล้วนถูกมองว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศออสเตรเลียทั้งสิ้น

การแก้ไขกฎหมายในเรื่องนี้จึงกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในช่วงนี้ของสังคมออสเตรเลีย และเพื่อแก้ไขปัญหาความ ขัดแย้งนี้ อัยการสูงสุดของออสเตรเลียตัดสินใจที่จะพิจารณาข้อกฎหมายนี้ใหม่ในปีหน้า

ในขณะที่หลายฝ่ายก็มองว่า กฎหมายฉบับนี้แก้ไขเพื่อจับกุมผู้ที่มีความเห็นตรงข้ามกับนโยบายรัฐบาล แต่บทบรรณาธิการหนังสือ พิมพ์ The Australian กลับมองว่า เป็นการมองที่ กระต่ายตื่นตูมไปสักหน่อย และชี้ให้เห็นถึงความมุ่งหวังที่แท้จริงของข้อกฎหมาย นี้ที่ว่า เพื่อป้องกันการก่อ การร้ายจากกลุ่มหัวรุนแรง ที่ยอมพลีชีพเพื่อเชื้อชาติหรือศาสนาของตน โดยเฉพาะเหล่าเยาวชน ซึ่งเราอาจจะเห็นได้จากเหตุการณ์ร้ายหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้น เช่น เหตุ การณ์ระเบิดสถานีรถไฟใต้ดินในกรุงลอนดอน ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลออสเตรเลียก็กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ ทำนองเดียวกันนี้ในเมืองใหญ่ของออสเตรเลีย เช่นกัน จึงต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจสามารถป้องกันการโจมตีของกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยฝ่ายรัฐบาลอ้างว่า การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ มิได้มุ่งที่จะจำกัดสิทธิ์ในการพูดคุยถกเถียงทั่วๆ ไปแต่อย่างใด แต่ในบท บรรณาธิการฉบับนี้ก็เห็นว่า การเพิ่มอำนาจ ของเจ้าหน้าที่ในการจับกุมผู้ต้องสงสัยทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่า กรณีที่รัฐบาลอ้างไว้จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย นอกจากนี้จะใช้อะไรเป็นบรรทัดฐานหรือข้อพิสูจน์ว่า การกระทำใดๆ เป็นการกระทำที่เรียกว่า กระตุ้นให้เกิด ความฮึกเหิมในการก่อการร้าย เพราะถ้าจะอ้างจริงๆ ก็สามารถอ้างได้ในเกือบทุกกรณี

อย่างไรก็ตาม บทบรรณาธิการฉบับเดียวกันนี้ก็ย้ำว่า การระแวดระวังเป็นสิ่งที่ดี แต่การป้องกันโดยการห้ามมิให้แสดงออกทางการพูดปราศรัยใดๆ จะต้องกระทำอย่าง ระมัดระวังที่สุด เพราะจะเป็นการละเมิดสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งบท บรรณาธิการฉบับนี้ก็เห็นว่า ควรจะต้องปรับแก้เนื้อหากฎหมายนั้นในบางส่วนเพิ่มเติมเสียก่อน โดยเฉพาะควรจะยกเว้นในกรณีกิจกรรมการแสดงออกปกติทั่วๆ ไป เช่น การ รายงานข่าว, การแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกทางศิลปะต่างๆ

พรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก รวมถึงพรรค Australian Democrats และพรรคกรีนส์ กล่าวโทษรัฐบาลว่า กำลังเล่นการเมืองกับความปลอดภัยและความสงบสุขของชาติ และการกระทำอย่างนี้ยังแต่ จะสร้างความหวาดผวาให้กับคนออสเตรเลียโดยรวม ซึ่งรัฐบาลได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และบอกว่าการแก้ไขข้อกฎหมายบางส่วนเนื่องจากอยู่ในความสนใจของคนทั้งชาติ

ในขณะที่สถานการณ์ของนายกรัฐมนตรีจอห์น โฮเวิร์ดเองก็ไม่มั่นคงนัก โดยผลการสำรวจความนิยมของประชาชนที่มีต่อนายกรัฐมนตรีลดลงต่ำที่สุดในรอบสี่ปี ซึ่ง เกิดจากการแก้ไขกฎหมายต่อต้านการก่อการ ร้ายและกฎหมายเกี่ยวกับปฏิรูปอุตสาหกรรมสัมพันธ์ที่นายจอห์น โฮเวิร์ดเองพยายามขับเคลื่อนมากว่าสองทศวรรษแล้ว นักวิเคราะห์หลายๆ รายถึงกับรวมนายจอห์น โฮเวิร์ด เข้ากับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ของ สหรัฐอเมริกาและนายกรัฐมนตรีโทนี่ แบลร์ แห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมรบสงครามอิรัก ว่ากำลังตกอยู่ในบ่วงที่ตัวเองสร้างขึ้น โดยคะแนนนิยมที่ตกลงและสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผล ให้จำนวนทหารที่เข้าร่วมสงครามและเสียชีวิต มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยบอกว่า ทั้งสามคนกำลัง อยู่ในช่วงเทอมสุดท้ายของตน ทั้งที่เป็นเทอม สุดท้ายตามกฎหมายและเทอมสุดท้ายโดยนัย

เมื่อพิจารณาถึงสภาพสังคมของประเทศออสเตรเลียแล้ว ออสเตรเลียก็เหมือน ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศเกิดใหม่ มีชนกลุ่มน้อยหลายๆ กลุ่มอพยพมาอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยเมื่อย้อนหลังไปถึงบรรพบุรุษ อาจจะนับถอยหลังได้ไม่ยาวไกลนัก หรือชนกลุ่มน้อยบางกลุ่มก็เป็นรุ่นแรกๆ และ กำลังให้กำเนิดบุตรหลานเพื่อสืบทอดตระกูลของตนอยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่นๆ ในยุโรป อย่างปารีส, อัมสเตอร์ดัม หรือโคเปนเฮเกนแล้ว เมืองใหญ่ๆ ของออสเตรเลียไม่ได้มีการ ลุกฮืออย่างโกรธแค้นของชนกลุ่มน้อยวัยรุ่นชาวมุสลิม โดยออสเตรเลียมีการจัดสมดุลระหว่างกลุ่มมุสลิมที่มีแนวคิดเป็นกลางและกลุ่มหัวรุนแรง

นักวิเคราะห์รายหนึ่งเห็นว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับการแก้ไขกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย คือ จะเป็นการผลักดันให้มีการแสดงความคิดเห็นใต้ดินมากขึ้น ซึ่งทำให้ ยากที่จะติดตามความเคลื่อนไหว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่จะเปิดให้ทางการสามารถเห็นความเป็นไปได้มากกว่า และแสดงความกังวลว่า สถานการณ์ปัจจุบันก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ ชาวบ้านสามารถเรียนรู้และตื่นตัวกับความเปลี่ยน แปลงได้ แต่เมื่อแก้ไขกฎหมายแล้ว ชาวออส เตรเลียอาจจะตื่นเช้ามาพบกับความโศกเศร้า โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก่อนก็เป็นได้

ริมอ่าวซิดนีย์ผมยังมองเห็นนกนางนวล บินโฉบไปมา ผู้คนยังคงเดินขวักไขว่ไปมา พ่อแม่คู่หนึ่งชี้ให้ลูกน้อยมองความสง่างามริมอ่าวของโอเปร่าเฮาส์

เสียงคนกลุ่มหนึ่งเดินคุยปรึกษากันว่า จะยอมเสียเงินไปเดินเล่นบนฮาร์เบอร์บริดจ์กันดีไหม

แดดยามเช้าส่องทะลุเมฆลงมาเบื้องล่าง กระทบผิวน้ำเป็นแสงวาววับ

ผมหวังจะเห็นยามสายที่สดใสริมอ่าวซิดนีย์ไปตลอดกาลครับ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us