|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
PRANDA คาดโกยรายได้ปี49 ถึง 3,700 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้จะได้ 3,400 ล้านบาท และกำไร 300 ล้านบาท อันเป็นผลจากการลงทุนในต่างประเทศ และการทำตลาดในประเทศแบรนด์ เซ็นจูรี่โกล ก็มียอดขายเติบโต พร้อมเตรียมทุ่มงบทำการตลาดให้กว้างขึ้น
นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ ประธานบริหารการเงิน กลุ่มบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) ( PRANDA ) เปิดเผยว่ากล่าวว่าบริษัทฯ คาดว่าในปี 2548 จะมีรายได้ 3,400 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท ส่วนปี 2549 คาดว่าจะมีรายได้รวม 3,700 ล้านบาท โดยจะเป็นการเติบโตจากการลงทุนตลาดในต่างประเทศ เช่น จีน อินเดีย อังกฤษ และเยอรมัน รวมถึงการทำตลาดในประเทศภายใต้แบรนด์ของเซ็นจูรี่โกล ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมียอดขาย 30 ล้านบาท และในปี 2549 คาดว่าจะมียอดขายเติบโต 1 เท่าตัวอยู่ที่ประมาณ 60-70 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทฯที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2547 เนื่องจากบริษัทฯเข้าทำการตลาดในต่างประเทศในจีนและเยอรมันเพิ่มมากขึ้น จึงมีการขยายการลงทุน แต่มองว่าจะทำให้ปี 2549 รับรู้รายได้ได้เพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้สัดส่วนการส่งออกสินค้า 85% เป็นการส่งออกต่างประเทศ ส่วนอีก15% จะเป็นการจำหน่ายภายในประเทศ ซึ่งมองว่าจะคงระดับที่ประมาณไม่เกิน 20-25%
นางสุนันทา กล่าวต่อว่า การทำตลาดในประเทศไทยโดยการสร้างแบรนด์ใหม่ " เซ็นจูรี่โกล " ซึ่งเป็นทอง 96.5% นั้น มองว่าขนาดของตลาดยังเป็นตลาดขนาดใหญ่ ซึ่งมองว่าบริษัทฯน่าจะสร้างยอดขายและตอบสนองการลงทุนได้ ซึ่งมองว่าสินค้าในกลุ่มนี้จะไม่แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากพรีม่าโกล เนื่องจากเป็นสินค้าคนละกลุ่ม โดยขณะนี้มีร้านค้าของเซ็นจูรี่โกล จำนวน 7 แห่ง คาดว่าปี 2549 จะมีเพิ่มขึ้นเป็น 10-13 แห่ง
บริษัทฯ ได้ใช้งบประมาณในการลงทุนปี 2548 ประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งปี 2549 คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท หรืออาจเพิ่มเป็น 70 ล้านบาทได้ ซึ่งจะเป็นงบลงทุนที่เน้นในการทำการตลาดเพื่อขยายตลาดให้เพิ่มขึ้น และบริษัทมีกำไรขั้นต้นลดลงนั้น เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายของบริษัทฯที่เพิ่มขึ้นในเรื่องโครงสร้างอาคาร ทั้งนี้ มองว่ากำไรขั้นต้นปี 2548 จะอยู่ที่ประมาณ 34% ลดลงจากปี 2547 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 36%
ส่วนนโยบายการปันผล ขณะนี้ต้องรอการประชุมจากคณะกรรมการบริหาร ซึ่งตามนโยบายจ่ายปันผลไม่เกิน 60% ของกำไรสุทธิ ซึ่งมองว่าหากกำไรในปี 2548 ใกล้เคียงกับปี 2547 จะจ่ายปันผลในระดับที่ใกล้เคียงกัน
|
|
|
|
|