Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน21 พฤศจิกายน 2548
LPNทำคอนโด บุกตลาด5แสน ดึงลูกค้าบ้านเอื้อฯ             
 


   
www resources

โฮมเพจ แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์

   
search resources

แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์, บมจ.
ทิฆัมพร เปล่งศรีสุข
Real Estate




LPNเผยแผนรุกคอนโดฯ ตลาดล่าง เจาะกลุ่มลูกค้าระดับเดียว กับโครงการบ้านเอื้ออาทร 4-5 แสนบาทต่อยูนิต หลังกระแสจัดสรรกลาง-ใหญ่ หันเจาะกลุ่มคอนโดมิเนียมตลาดกลาง ยันผู้ประกอบการแห่บุก ตลาดกลางไม่กระทบยอดขาย ชี้คอนโดฯตลาดล่างทำยาก ประสบการณ์น้อย ไม่ตั้งใจจริงอย่าบุ่มบ่าม

นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า จากช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลายๆ ราย เริ่มหันมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในตลาดระดับกลางมากขึ้น ซึ่งมีแนวโน้ม ว่ามีการพัฒนาโครงการและก่อสร้างเสร็จ รวมถึงจะสามารถ มอบโอนได้ในระยะ 2-3 ปีนี้นั้น โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า การที่มีผู้ประกอบการหันมาพัฒนาคอนโดมิเนียมในตลาดดังกล่าว จะส่งผลไม่กระทบต่อยอดขายของ แอล.พี.เอ็น. แต่อย่างใด

ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการที่เข้ามาพัฒนาโครงการใหม่ มีความเจตนาและความตั้งใจจริงในการพัฒนาสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในตลาดอย่างแท้จริง เชื่อว่าจะไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อตลาด แต่หากเป็นการเข้ามาพัฒนาโครงการตามกระแสแล้ว เชื่อว่าจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นนอน เพราะการทำคอนโดฯ ในตลาดนี้ หากมีการพัฒนาในจำนวนมากๆ ถือว่าเป็นเรื่องยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขาย และการก่อสร้าง การควบคุมต้นทุน รวมถึงการบริหารจัดการหลังการขาย โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลลูกค้าให้ตรงความต้องการมากที่สุด ซึ่งในส่วนนี้บริษัทเองนับว่ามีประสบการณ์และความชำนาญ เนื่องจากบริษัทมีประสบการณ์ในการบริหารหลังการขายมากว่า 10 ปีแล้ว จึงมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างไร

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดดังกล่าวที่เริ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการดำเนินการอย่างต่อเนื่องดังนั้น แผนการดำเนินงานในปี 2549 บริษัท จึงต้องมีการพัฒนาและเตรียมการปรับกลยุทธ์ วิธีการบริหาร และการตลาดใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดนิ่ง และเพื่อให้ มีการพัฒนาอยู่ในระบบการบริหารอยู่ตลอดเวลา โดยเตรียมแผนที่จะรุกตลาดคอนโดมิเนียมในตลาดล่างมากขึ้น โดยบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในระดับราคาขายอยู่ที่ 4-5 แสนบาทต่อยูนิต เนื่องจากเล็งเห็นว่าตลาดในย่านกลางเมืองยังมีดีมานด์กลุ่มนี้อยู่อีกมาก

สำหรับการพัฒนาโครงในตลาดดังกล่าว บริษัทจำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการพัฒนาต่อโครงการประมาณ 10-20 ไร่ เนื่องจากการพัฒนาโครงการระดับราคา 4-5 แสนบาท ในขณะที่ต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้นเรื่อยๆ หากต้องการจะมีกำไร จำเป็นต้องพัฒนาอาคารในโครงการครั้งละมากๆ เพื่อให้มีหลายๆ ยูนิต ทำให้เกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ จึงจะคุ้มค่าต่อการลงทุน ส่วนรูปแบบในการพัฒนาโครงการคงเป็นใน รูปแบบเดิมที่มีการพัฒนามาอยู่ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่จะใช้แบรนด์ใดในการพัฒนานั้นขณะนี้ยัง ไม่สามารถเปิดเผยได้ สำหรับที่ดินที่จะนำมาพัฒนาโครงการใหม่นั้นขณะนี้ยังอยู่ในช่วงการจัดหาพื้นที่ในทำเลที่มีศักยภาพอยู่ ซึ่งขณะนี้มีอยู่หลายทำเลด้วยกัน และคาดว่าจะมาสมารถสรุปผลได้เร็วๆ นี้

นายทิฆัมพร กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม โครงการคอนโดมิเนียมที่เจาะกลุ่มเป้าหมายในตลาดระดับล่างดังกล่าว คงไม่เกี่ยวกับแผนการดำเนินงานเดิมที่จะมุ่งพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง ซึ่งตามแผนแล้ว แอล.พี.เอ็น. ยังเน้นการพัฒนาโครงการระดับราคา 0.8-1.5 ล้าน บาท โดยแผนการพัฒนาโครงการในปี 49 นั้น บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการใหม่ประมาณ 5-6 โครงการ ซึ่งถือว่าจำนวนในการพัฒนาโครงการ จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปี 48 และถือเป็นความท้าทาย ในศักยภาพการพัฒนาโครงการของบริษัท

ส่วนมูลค่าโครงการการพัฒนาต่อโครงการ และมูลค่ารวมในการพัฒนาโครงการใหม่ของปี 2549 นั้นขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยมูลค่าโครงการได้ เพราะอยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินใหม่ ในการพัฒนาโครงการ นอกจากนี้ บริษัท ยังมีที่ดินในส่วนที่อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายอยู่ เช่น ที่ดินในย่านสะพานควาย, ลาดพร้าว เป็นต้น โดย ขณะนี้ที่ดินในมือที่จะพัฒนาโครงการปีหน้ามีอยู่แล้ว 1 แปลง ในย่านปิ่นเกล้าใกล้กับ เมเจอร์ ปิ่นกล้า โดยในโครงการนี้จะสามารถเริ่มเปิดตัวได้ในไตรมาสแรก ปี49 ส่วนจะใช้แบรนด์ใดนั้นยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้

"ปัจจุบันบริษัทจัดสรรทุกรายเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ ไม่มีผู้ประกอบการสนใจตลาดระดับดังกล่าวนัก เพราะเมื่อก่อนหากใครการมาทำตลาดนี้จะต้องดูแลลูกค้าเป็นอย่างมาก และค่อนข้างวุ่นวาย ประกอบกับในช่วงนั้น ผลกำไรจากการทำคอนโดฯ และบ้านตลาดบนจะดีกว่า ซึ่งในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ผม ได้เห็นความสำคัญของลูกค้าตลาดกลางอยู่แล้ว และได้มีการเก็บขอมูลลูกค้าเก่า ไว้เป็นฐานข้อมูล ของบริษัทมาโดยตลอด จึงทำให้เรามีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นหลายหมื่นรายต่อปี และทำให้แบรนด์ แอล.พี.เอ็น.ฯ เป็นที่รู้จักในตลาดกลางมาโดยตลอด" นายทิฆัมพร กล่าว

นายทิฆัมพร กล่าวว่า จากการที่บริษัทมีฐานลูกค้าเก่าในมือจำนวนมาก ส่งผลดีในการขยายฐานลูกค้าใหม่โดยการแนะนำปากต่อปาก ทำให้มีลูกค้าใหม่ที่ได้รับการแนะนำจากลูกค้าเดิมเข้ามากว่า 40-50% ทั้งนี้ วิธีการทำงานของบริษัท ที่ผ่านมา จะคำนึงถึงความสำคัญของลูกค้า มาโดยตลอดจึงได้รับการตอบรับที่ดี

นอกจากนี้ ในปี 2549 บริษัทยังมีแผนปรับโครงสร้างองค์กรด้านการจัดการใหม่ โดยจะตั้งผู้บริหารฝ่ายจัดการคนใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแทนตน ซึ่งจะเป็น การผลักดันผู้บริหารของบริษัทขึ้นมา โดยไม่ต้องดึงคนจากภายนอกเข้ามาแต่อย่างใด ส่วนตนจะนั่งบริหารเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) โดยความคืบหน้าในการปรับองค์กรใหม่นั้นขณะนี้อยู่ในช่วงการดำเนินงาน และคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในต้นปี 2549

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดการแข่งขันในคอนโดมิเนียมจะไม่สูงมากนัก แม้จะมีผู้ประกอบการหลายรายเข้ามาในตลาดระดับนี้ และไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำ อีกทั้งสถาบันการเงินขณะนี้ก็เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการแนวสูงได้นั้น ในการขอกู้สถาบันการเงินเพื่อพัฒนาโครงการนับว่าเป็นเรื่องยากที่จะผ่านการอนุมัติปล่อยกู้ เพราะต้องมีผลงาน และประสบการณ์ในการบริหารพัฒนาโครงการแนวสูงมาเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ในปี 2548 บริษัทมีการพัฒนาโครงการ ใหม่รวม 4 โครงการประกอบด้วย โครงการใหม่ ลุมพินี เซ็นเตอร์ แฮปปี้แลนด์ เฟส 5 มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท, โครงการลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการประมาณ 1 พันล้านบาท, โครงการลุมพินีวิลล์ ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่าโครงการประมาณ 1.7 พันล้านบาท และโครงการลุมพินี เพลส นราธิวาส เจ้าพระยามูลค่า โครงการประมาณ 3 พันล้านบาท โดยตั้งเป้าว่าปีนี้จะมีรายได้จากการขาย 7,000 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us