เดอะมอลล์ ยอมรับกลยุทธ์ขายสินค้าราคาถูกของกลุ่มดิสเคานต์สโตร์ ส่งผลให้ต้องโดดร่วมแข่งขันด้วยการขายสินค้าต่ำกว่าทุน
ทั้งสินค้า Loss Leader และ Super Shock ทำให้เม็ดเงินหายไปกับต้นทุน สินค้า
จนไม่มีงบการตลาดสำหรับทำบิ๊ก แคมเปญ ที่ปกติจะใช้ครั้งละ 50 ล้านบาท แต่ปัจจุบันใช้งบทำแคมเปญเพียง
ครั้งละ 20-30 ล้านบาทเท่านั้น เร่งปรับตัวครั้งใหญ่ด้วยการทุ่มงบก้อนโตเพิ่มพื้นที่ขาย
คาดช่วยสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นอีก 10%
นายไพบูลย์ กนกวัฒนาวรรณ รอง ประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป
จำกัด เปิดเผยว่าการแข่งขันในตลาดค้าปลีกที่รุนแรงโดยเฉพาะกลุ่มดิสเคานต์สโตร์ที่เป็นค้าปลีก
ข้ามชาติ ได้ใช้กลยุทธ์ขายสินค้าราคาถูก ทำให้เดอะมอลล์ ต้องแข่งขันด้วยการขายสินค้าราคาถูกด้วยเช่นเดียวกัน
โดย ในแต่ละเดือนเดอะมอลล์ใช้งบประมาณ 1 ล้านบาท สำหรับทำสินค้า Loss Leader
หรือสินค้าที่ขายต่ำกว่าทุน และอีกประมาณ 1 ล้านบาทสำหรับจัดรายการสินค้า
Super Shock ซึ่งจะขาย ขาดทุนต่ำกว่าสินค้าในกลุ่ม Loss Leader เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้ามา
ซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าของเดอะมอลล์มากยิ่งขึ้น โดยสิ้นค้าที่นำมาจัดรายการส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงสาขาของเดอะมอลล์ ที่เปิดอยู่ทั่วกรุง-เทพฯจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่มีดิสเคานต์สโตร์มาเปิดบริเวณใกล้เคียงหลายสาขา
ซึ่งนายไพบูลย์ ยอมรับว่าในช่วงแรกของ การเปิดดิสเคานต์สโตร์ เดอะมอลล์ก็ได้รับผลกระทบด้านยอดขายบ้าง
เช่น เดอะมอลล์ สาขาบางกะปิ ที่เมื่อเทสโก้ โลตัส มาเปิด ยอดขายของเดอะมอลล์
ในเดือนแรกลดลง 8% ส่วนเดือนที่สอง ลดลงเพียง 4% และเดือนที่สามก็กลับ มาเติบโตที่
8% เหมือนเดิม
ส่วนสาขางามวงศ์วาน ที่มีเทสโก้ โลตัส มาเปิดในพื้นที่ใกล้เคียง (สี่แยกแคราย)
แล้ว ล่าสุดกลุ่มเทสโก้ โลตัส ยังได้มาเปิดเทสโก้ โลตัส ซูเปอร์มาร์เกต ขนาดพื้นที่ขาย
4,000 ตารางเมตร ด้าน ข้างเดอะมอลล์อีกด้วย ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
แต่เชื่อว่าคงเป็นผลกระทบ ในระยะสั้น เนื่องจากขนาดของพื้นที่ที่แตกต่างกันมาก
และเดอะมอลล์เป็นชอปปิ้งคอมเพล็กซ์ที่ครบวงจร มีบริการ ที่หลากหลายกว่าจะช่วยดึงดูดให้ลูกค้า
เข้ามาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า จากการแข่งขันในธุรกิจที่มากขึ้นเช่นนี้ ส่งผลให้การใช้งบประมาณของเดอะมอลล์ใน
การทำแคมเปญใหญ่ๆ หายไป ซึ่งก่อนหน้านี้เดอะมอลล์ เคยจัดแคมเปญใหญ่ "20
วัน 20 ล้าน" ซึ่งใช้งบในการจัดแคมเปญประมาณ 50 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันแคมเปญที่จัดขึ้นส่วนใหญ่จะใช้งบเพียง
20 ล้านบาทต่อครั้ง และหากเป็นแคมเปญใหญ่อย่างช่วงปีใหม่ ก็ใช้เพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น
"การใช้งบในการทำแคมเปญของเดอะ มอลล์ในระยะหลัง จะทำอย่างระมัดระวังและ
ต้องทำเพื่อให้เกิดผลด้านยอดขายทันที ไม่มีแคมเปญที่หวือหวาเช่นในอดีตอีกแล้ว"
นาย ไพบูลย์กล่าว ทุ่มงบก้อนโตปรับโฉมสาขาใหม่
อย่างไรก็ตาม เดอะมอลล์ได้ทุ่มงบประมาณ ถึง 1,000 ล้านบาท สำหรับการปรับโฉมสาขาทั้งหมดในปีนี้และปีหน้า
โดยปี 2545 เดอะมอลล์ ใช้งบประมาณ 500 ล้านบาท ปรับปรุงสาขาบางแค บางกะปิ
ท่าพระ และงามวงศ์วาน
สำหรับสาขางามวงศ์วานนี้ เดอะมอลล์ได้ซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อก่อสร้างเป็นพื้นที่ขายรวมทั้งที่จอดรถ
ด้วยงบกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของ พื้นที่จอดรถจะมีพื้นที่เพิ่มกว่า
30,000 ตารางเมตร หลังการเพิ่มอาคารจอดรถใหม่จะสามารถ หมุนเวียนรถได้ถึง
15,000 คันต่อวัน ในขณะที่พื้นที่ขายก็มีพื้นที่เพิ่มอีก 5,000 ตารางเมตร
คาด ว่าจะทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก 20% จากวันปกติที่มีลูกค้าเข้าศูนย์
50,000 คน และ กว่า 1 แสนคนในวันเสาร์-อาทิตย์ และจะเพิ่มยอดขายเฉพาะสาขานี้จากปีละ
4,000 ล้านบาทเป็น 5,000 ล้านบาท
"จากการปรับตัวครั้งนี้ เดอะมอลล์งามวงศ์วานจะเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโซนกรุงเทพฯ
ตอนเหนือ และการเปิดส่วนขยายพื้นที่ในเดอะมอลล์จะทำในรูปแบบนีโอ สไตล์ ด้วยการนำเสนอสินค้ารูปแบบใหม่
โดยเฉพาะการเพิ่มสินค้าแบรนด์เนมอีก 50 แบรนด์จากเดิม ที่มีอยู่ 300 แบรนด์
ทั้งแผนกเครื่องสำอาง และ เสื้อผ้า เครื่องหนัง"
สำหรับการปรับปรุงสาขาบางกะปิจะปรับ ปรุงสะพานลอยคนข้ามให้ใหญ่ขึ้น รวมถึงการจัดทำสะพานลอยแห่งใหม่ต่อเชื่อมเข้าห้าง
ที่บริเวณชั้น 1 ข้างร้านเดอะพิซซ่า ซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม และได้พัฒนาพื้นที่บริเวณทาง
เชื่อมให้เป็นจุดนัดพบแห่งใหม่ของวัยรุ่น ที่ร้านอาหารและเครื่องดื่มคอยให้บริการ
ส่วนการปรับปรุงสาขาในปีหน้าคาดว่าจะเน้นไปที่ดิ เอ็มโพเรียม ด้วยการขยายพื้นที่ด้านหลังห้าง
สร้างที่จอดรถเพิ่ม และเพิ่มพื้นที่ขายให้แก่ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์เนม
โดยประมาณการว่าจะใช้งบเฉพาะสาขานี้ประมาณ 300 ล้านบาท
นอกจากการปรับปรุงสาขาแล้ว นายไพบูลย์ กล่าวว่าก่อนหน้านี้เดอะมอลล์ก็ได้ปิดจุดบอดใน
เรื่องสินค้าที่จำหน่ายที่มักจะได้รับการเสนอแนะจากลูกค้าว่ามีสินค้าไม่ครบทุกประเภท
ซึ่งเดอะ มอลล์ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสำรวจในห้างต่างๆ ว่า จะหน่ายสินค้าอะไรบ้าง
จากนั้นก็นำมาปรับเพิ่มเพื่อให้มีสินค้าครบตามความต้องการของลูกค้า
นายไพบูลย์ ได้กล่าวถึงผลประกอบการโดยรวมของเดอะมอลล์ในปีนี้ว่ามียอดขาย
25,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นประมาณ 10% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตที่มากกว่าประมาณการไว้เมื่อต้นปี
ที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 8%
สำหรับสภาพตลาดค้าปลีกโดยรวมในปีนี้ นายไพบูลย์ให้ความเห็นว่า สินค้าในกลุ่มอุปโภค
บริโภคไม่มีการเติบโตเท่าที่ควร เนื่องจากมีปัจจัย อื่นที่ทำให้ผู้บริโภคหันไปจับจ่ายใช้สอยในด้านอื่น
เช่น การซื้อบ้าน หรือรถยนต์ เนื่องจากอัตราดอก เบี้ยลดลง หรือการซื้อสินค้าราคาแพงเพราะมีบัตรเครดิตใช้เป็นต้น
แต่เชื่อว่าในปีหน้ากำลังซื้อ ในส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคน่าจะดีขึ้น เพราะผู้บริโภคได้ใช้จ่ายไปกับสินค้าชิ้นใหญ่
หรือสินค้า ที่มีราคาสูงไปมากแล้ว จึงน่าจะกลับมาซื้อสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเช่นเดิม