Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน18 พฤศจิกายน 2548
บิ๊กอสังหาฯ ฟันธงปี 49 สาหัส             
 


   
search resources

อนันต์ อัศวโภคิน
Real Estate




ขุนพลระดับบิ๊กอสังหาฯ ฟันธงปี 49 เป็นปีคู่แฝดปี 48 เสี่ยใหญ่ "อนันต์" ผู้ยิ่งใหญ่ในธุรกิจอสังหาฯ ระบุผู้ประกอบการตรึงราคาบ้านแย่งแชร์ลูกค้า ในขณะต้นทุนก่อสร้างปรับขึ้นสูง แนะลดโอเวอร์เฮสเพิ่มกำไร ด้านเกียรตินาคินแจงยอดปล่อยสินเชื่อโครงการคงที่ เหตุผู้ประกอบการเหลือสินค้าในมือมาก ทำให้ชะลอแผนเปิดโครงการใหม่ "ชาลอต" คาดยอดสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ทั้งปี 3.6 แสนล้านบาท ขยายตัวในอัตราที่ลดลง แจงปีหน้าดอกเบี้ยปรับขึ้น 1.5-2% ไม่กระทบผู้กู้ หากแตะระดับ 11.5% แบงก์ขยับค่าผ่อนเพิ่ม

นายไชยศ สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา "อสังหาฯ' 49 สมดุลหรือถดถอย" ว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นธุรกิจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมากมาย ดังนั้น รัฐบาลจึงเล็งความสำคัญในเรื่องนี้ โดยขณะนี้ได้ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปศึกษาถึงแนวทางการช่วยเหลือภาคธุรกิจอสังหาฯ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง

ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และล่าสุดได้ออกมาตรการกระตุ้นตลาดบ้านมือ 2 ที่กฤษฎีกาได้ออกประกาศมาตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.2548 และมีผลตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.2548 ทั้งเรื่องค่าธรรมเนียมการโอน 2% ลดเหลือ 0.01%, ค่าจดจำนอง 1% ลดเหลือ 0.01% ส่วนเรื่องการขอคืนค่าอากรอีกประมาณ0 .5% ที่ผู้ขายชำระไปก่อนกรณีที่ขายบ้านหลังเก่าและซื้อบ้านหลังใหม่ภายใน 1 ปีนั้นยังไม่ประกาศใช้เพราะต้องรอรายละเอียดจากสรรพากรก่อน

สำหรับแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ทำโครงการจัดสรรขายหรือที่เรียกว่าบ้านมือ 1 นั้น ขณะนี้ได้ให้ทางสศค.ไปศึกษารายละเอียดถุงแนวทางการช่วยเหลือ เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอื่นๆ ซึ่งหากธุรกิจนี้ขยายตัวก็จะทำให้ภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอื่นๆขายตัวไปด้วยเช่นกัน

**"อนันต์" ชี้ปี 49 ผู้ประกอบการตรึงราคาสู้คู่แข่ง

นายอนันต์ อัศวโภคิน กรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวด้วยว่า กว่า 70-80% โครงการจัดสรรเกิดขึ้นในเขตกทม.และปริมณฑล โดยในปี 2548 ตลาดที่อยู่อาศัยน่าจะเติบโตจากปี 2547 ประมาณ 14% โดยตัวเลขการจดทะเบียนของที่อยู่อาศัยใหม่ทั้งหมดน่าจะประมาณ 70,000 ยูนิต ซึ่งเท่ากับตัวเลขจดทะเบียนที่กรมที่ดินเมื่อปี 2531 และคาดว่าในปี 2549 หากจีดีพีของประเทศเติบโต 5-6% คาดว่าตัวเลขที่อยู่อาศัยจดทะเบียนน่าจะอยู่ประมาณ 75,000-80,000 ยูนิต หรือเติบโตจากปี 2548 ประมาณ 15-20%แต่หากอัตราการเติบโตของจีดีพีในปี 2549 ต่ำกว่า 4% การจดทะเบียนของที่อยู่อาศัยก็น่าจะเท่ากับปี 2548

โดยรวมยอมรับว่ายอดคนที่แวะเข้าโครงการลดลง 10-15% เหตุเพราะน้ำมันแพง, ดอกเบี้ย และภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็เชื่อว่าอีก 2 เดือนข้างหน้าทุกอย่างก็น่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ คนเริ่มปรับตัวได้ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับเงินเดือน เฉลี่ย 5-7% ซึ่งจะมาทดแทนเงินเฟ้อและอื่นๆซึ่งก็จะยังคงทำให้คนที่ต้องการซื้อบ้านมีความสามารถในการซื้อในราคาระดับเดิมที่ต้องการซื้อ เช่น คนที่ต้องการซื้อบ้านระดับราคา 5 ล้านบาทก็จะยังซื้อได้อยู่เพราะรายได้ที่เข้ามาเพิ่มนั้นจะชดเชยในส่วนที่แบกรับจากปัจจัยลบอื่นๆ และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะลดลงเหลือ 3-4% ในปี 2549 จากปีนี้ประมาณ 6%

อย่างไรก็ดี ยังเชื่อมั่นว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ของประชาชนยังมีอยู่มาก ด้วยเหตุหลักคือ 1.ปัจจุบันอัตราการเกิดใหม่ของประชากรในกทม./ปริมณฑลมีอยู่กว่า 1% จากปัจจุบันมีอยู่กว่า 9 ล้านคน , 2.อัตราการทำงานอยู่ที่ 52% จากจำนวนประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 55% ในปี 2549 ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ เมื่อมีงานทำแล้วสิ่งที่ตามมาคือเก็บเงินและซื้อที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ของประชาชนจะมีเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นจะมีความสัมพันธ์กันกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจหรือจีดีพี 80% ส่วนความผันผวนของการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนั้นจะสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ของประชาชน 42%

พร้อมกันนี้ นายอนันต์ ยังกล่าวด้วยว่าในปี 2549 สิ่งที่จะเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจอสังหาฯปี 49 นั้นมี 1. การปรับขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างภายในประเทศนั้น ถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ แต่ผู้ประกอบการก็สามารถที่หาทางออก ได้ด้วยการสั่งวัสดุก่อสร้างจากต่างประเทศที่ไทยได้ลงนามในข้อตกเปิดการค้าเสรี(เอฟทีเอ.) ไป 2. ผู้ประกอบการไม่สามารถที่จะปรับขึ้นราคาขายได้มาก เนื่องจากว่ายังคงต้องการ "ตรึงราคา" เพื่อที่จะรักษาหรือดึงส่วนแบ่งตลาดจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ซึ่งหากมองถึงขีดความสามารถในการแข่งขัน ระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันแล้วจะเห็นว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เปรียบกว่ารายเล็ก

และ 3. ในส่วนการสร้างอัตรากำไรของผู้ประกอบการอสังหาฯในปี 2549 นั้นหากพิจารณาถึงผลประกอบการในแต่ละไตรมาสของปี 2548 จะเห็นว่าอัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการแต่ละรายไม่แตกต่างกัน เฉลี่ยอยู่ประมาณ 30-34% ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ประกอบการแต่ละรายต้องพยายามที่จะรักษาระดับไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะเผชิญกับแรงกดดันของต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

" ปี 49 ก็จะเหมือนปีคู่แฝด 48 แม้จะเจอแรงกดดันเรื่องต้นทุนแต่ผู้ประกอบการต้องตรึงราคาขาย ซึ่งผมว่าปีหน้าก็จะยังเป็นปีที่ผู้บริโภคมีอำนาจต่อรองอยู่ และตลาดบ้านที่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท จะแข่งขันกันดุเดือดแน่" นายอนันต์ กล่าวย้ำ

นายอนันต์ ยังกล่าวถึงแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการอสังหาฯในปี 2549 ว่า สิ่งที่จะทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ยื่นอยู่ได้ ทั้งการรักษาอัตรากำไร อัตราการเติบโตด้านยอดขายที่ดี ขึ้นอยู่กับการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน หรือโอเวอร์เฮด ซึ่งหากใครสามารถลดลงมาต่ำได้ แล้วลดราคาขายบ้าน 10% ก็ยังมีกำไรอยู่ เช่น จากราคาขายเท่ากัน 100 บาท แบ่งเป็นต้นทุนวัสดุ 30%, ค่าแรง 13%, ค่าก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค 7% และค่าที่ดิน 15% ที่เหลือคือกำไรขึ้นต้น 35%หรือ 37%ที่มีความแตกต่างกันมากก็คือ ค่าโอเวอร์เฮด 5-15% หากลดโอเวอร์เฮดให้ต่ำ แม้จะลดราคาบ้าน 5-10% ก็ยังมีกำไรอยู่

**แบงก์ชะลอปล่อยกู้โครงการหวั่นเอกชนขายสินค้าไม่ออก

นายธวัชชัย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้การปล่อยสินเชื่อโครงการมีแนวโน้มลดลง รวมไปถึงปีหน้า ซึ่งในส่วนของธนาคารเองได้มียอดปล่อยสินเชื่อโครงการลดลงอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2548 ส่วนปี 2547 มียอดสินเชื่อ 16,000 ล้านบาท และในปี 2546 และในปีหน้าคาดว่าจะปล่อยที่ระดับ 10,000 ล้านบาท หรือประมาณ 70 ราย เช่นเดียวกับปี 2548

อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น มีผลกระทบน้อยกว่าการจำกัดปริมาณของสินเชื่อ และระยะเวลาในการปล่อย โดยจะส่งผลตัวการเปิดตัวโครงการโดยตรง ซึ่งการปรับขึ้นของดอกเบี้ยนี้จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการรายกลาง-รายย่อย หรือ เอสเอ็มอี ทำให้เอสเอ็มอี ที่เป็นผู้ประกอบการโดยตรงยู่ในระดับทรงตัว ส่วนที่ไม่ใช้ผู้ประกอบการจะหายไปจากตลาด

นางชาลอต โทณวณิก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตัวเลขการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ของสถาบันการเงินในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีจำนวน 2.6 แสนล้านบาท โดยคาดว่าในไตรมาส 4 จะมียอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ในขณะที่ปี 2547 มีจำนวนสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่จำนวน 3 แสนล้านบาท ทั้งนี้เชื่อว่าในปี 2549 สินเชื่อที่อยู่อาศัยจะมีอัตราการเติบโตที่ลดลง อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่จะเริ่มหายไปจากตลาด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us