โรบินสันปรับตัวครั้งใหญ่หลังทุ่มงบกว่า 200 ล้าน บาทปรับโฉมสาขาไปแล้ว
13-14 สาขา เตรียมปรับให้ครบ 18 สาขาเร็วๆ นี้ เพื่อเน้นความทันสมัยยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทั้งการเปลี่ยนโลโก้ ชุดพนักงานใหม่และการเพิ่ม สินค้าแบรนด์ดังเข้ามาเสริมกว่า
100 แบรนด์ ล่าสุดจับมือไอ.ซี.ซี. จัดกิจกรรมกระตุ้นยอดขายช่วงปลายปี คาดยอดขายเพิ่มขึ้นกว่าช่วงปกติ
15%
ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน ประธานบริหารสายปฏิบัติการและกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท ห้าง สรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหา-ชน) เปิดเผยถึงการปรับตัวครั้งใหญ่
ของโรบินสันในขณะนี้ว่าได้ใช้งบประมาณกว่า 200 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมใหม่สาขา
ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว 13-14 แห่ง และคงเหลืออีก เพียง 4 สาขาเท่านั้น ที่จะเร่งดำเนิน
การให้แล้วเสร็จ โดยสาขาใหญ่ที่ถ. รัชดาภิเษกจะอวดโฉมอย่างเป็นทาง การในวันที่
13 ธ.ค. 2545 นี้ ซึ่งภาพลักษณ์ใหม่ที่ผู้บริโภคจะได้เห็นนั้น มีทั้งการเปลี่ยนโลโก้ใหม่
ชุดพนักงานใหม่ ที่เริ่มใช้เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ผ่านมา รวมทั้งบรรยากาศภายในห้าง
ที่จะมีสีสันสดใสยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ด้านนางนาถยา เตชะไกรศรี รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายจัดซื้อ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน
จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการนำเสนอสินค้าในห้างโรบินสัน ภายใต้
รูปลักษณ์ใหม่นี้ ได้เพิ่มสินค้าแบรนด์เนมเข้ามาก ว่า 100 แบรนด์ มีทั้งเครื่องสำอาง
เช่น เอชทูโอ บู๊ทส์ และอีฟซ่า , เสื้อผ้าสตรี อาทิ มาย แฟชั่น และเสื้อผ้าบุรุษ
เช่น จิออดาโน เอ็กซ์แซก เป็นต้น โดยการจัดสัดส่วนสินค้าในห้างจะแบ่งออกเป็น
เสื้อผ้าสตรี 40% เสื้อผ้าบุรุษ 30% สินค้าเด็ก 10% สินค้าภายในบ้าน 10%
และสินค้าเบ็ดเตล็ด 10%
"การที่โรบินสันได้เลือกสินค้าแบรนด์เนมเข้ามามากขึ้น เพราะต้องการฉีกตัวเองให้แตกต่าง
จากดิสเคานต์สโตร์ โดยสินค้าที่เป็นเฮ้าส์แบรนด์ ปัจจุบันได้ลดลงเหลือเพียง
5% จากก่อนหน้านี้ที่มีมากกว่านี้ เนื่องจากเห็นว่าการนำสินค้าแบรนด์ เนมเข้ามาจำหน่ายมากขึ้นจะช่วยทำให้ภาพลักษณ์
ของโรบินสันเป็นห้างที่ทันสมัย และมีสินค้าที่เป็น ที่ต้องการของลูกค้า"
นางนาถยากล่าว
สำหรับสินค้าในส่วนของ โฮม ยูนิเวอร์ส ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 7,000 ตารางเมตร
มีสินค้าตกแต่งบ้านให้เลือกกว่า 1 ล้านชิ้น ซึ่งศ.ดร.กนก กล่าวว่า นับเป็นศูนย์รวมสินค้าตกแต่งบ้านที่มีสินค้าให้เลือกมากที่สุดในประเทศไทย
และเมื่อรวมกับจุดแข็งของเพาเวอร์บาย และห้างสรรพสินค้าโรบินสันแล้ว เชื่อว่าจะเป็นจุดแข็งที่สร้างให้การปรับตัวในครั้งนี้มีความแข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมา
ศ.ดร.กนก ยังได้กล่าวถึงการแข่งขันการตลาดค้าปลีกในช่วงปลายปีนี้ว่า มีความรุนแรงมากขึ้น
ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ กลาง และเล็ก ต่างก็มีการนำกลยุทธ์ในรูปแบบใหม่เข้ามาใช้อย่างเต็มกำลัง
สำหรับโค้งสุดท้ายของโรบินสันใน ช่วงนี้ ได้ร่วมกับบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล
จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าคุณภาพรายใหญ่ของเมืองไทย จัดแคมเปญ
ไอ.ซี.ซี. สมาร์ท ชอปปิ้ง แอท โรบินสัน ครั้งที่ 2 ซึ่งการจัดงานร่วมกับไอ.ซี.ซี.
ในครั้งนี้จะมีเฉพาะ กับโรบินสันเพียงห้างเดียวเท่านั้น โดยลูกค้าที่ซื้อ
สินค้าของไอ.ซี.ซี. ครบ 800 บาท ขึ้นไปจะได้ลุ้น ส่วนลด 10-30% เพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้อผลิต
ภัณฑ์ของไอ.ซี.ซี. และเมื่อสะสมยอดครบ 50,000-100,000 บาทยังมีสิทธิ์ลุ้นรับทีวีสีซัมซุง
21 นิ้ว หรือผลิตภัณฑ์ไอ.ซี.ซี. อีกมากมาย
ทั้งนี้ ศ.ดร. กนก กล่าวว่า การจัดแคมเปญ ร่วมกับไอ.ซี.ซี. ในครั้งนี้
คาดว่าจะมียอดขายเพิ่ม ขึ้นกว่าช่วงปกติ 15% และเป็นยอดขายที่เพิ่มมาก กว่าการจัดงานในครั้งแรก
เมื่อปี 2544 ที่ยอด ขายเพิ่มขึ้นเพียง 10% ทางด้านนายบุญเกียรติ โชควัฒนา
กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
สำหรับไอ.ซี.ซี. คาดว่าจะทำให้ยอดขายรวมตลอด ทั้งปีเติบโตเกือบ 10% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ใกล้เคียงกับปีก่อน
นอกจากการจัดกิจกรรมร่วมกับไอ.ซี.ซี. แล้ว โรบินสัน ยังมีกิจกรรมอื่นๆที่จะมาช่วยกระตุ้นยอดขายช่วงปลายปีต่อเนื่องไปจนถึงปีใหม่
เช่น การจัดงานเปิดโฉมใหม่ของโรบินสัน ใน วันที่ 13 ธ.ค. การจัดแคมเปญ My
Wish My Gift เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อของขวัญปีใหม่ ให้แก่ตนเองหรือคนที่รัก
จากสินค้าในแค็ตตาล็อกเซลที่จะมีทั้งสินค้าเด็ก สินค้าแฟชั่นของบุรุษ และสตรี
เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า และกระเช้า ปีใหม่ เป็นต้น
"เราเชื่อว่ากิจกรรมที่จัดขึ้นนี้จะทำให้ กำลังซื้อในช่วงปลายปีดีขึ้น
โดยเฉลี่ยยอด ใช้จ่ายต่อบิลน่าจะอยู่ที่ 600-700 บาท ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่มีน้อยกว่า
600 บาทต่อบิล" ศ.ดร. กนก กล่าว
นอกจากนี้ ศ.ดร.กนก ยังให้ความเห็น อีกว่าสำหรับยอดขายตลอดทั้งปีที่คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ
10% โดยการเติบโต ดังกล่าวเป็นผลมาจากการปรับปรุงโฉมใหม่ของทุกสาขาให้ทันสมัย
และมีสินค้าให้เลือกซื้ออย่างครบครัน