|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" คาดดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มแอลอาร์ แตะ 8.5% กลางปี 2549 ก่อนจะเริ่มนิ่งในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ดอกเบี้ยออมทรัพย์ เตรียมขยับในไตรมาส 2 - 3 พร้อมปรับแผนการดำเนินธุรกิจแบงก์กสิกรไทยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการปล่อยกู้เอสเอ็มอี ขณะที่ลูกค้ารายใหญ่ ตั้งเป้าขยายตัวอีก 10%
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปี 2549 ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (เอ็มแอลอาร์) จะปรับขึ้นอีก 1 - 2% จนถึงกลางปี 2549 หรือเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ 6.5% เป็น 8.5% และจะเริ่มทรงตัวในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว และราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
"หากดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ ปรับตัวแรงเกิน 8.5% อาจจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ และทำให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวได้"
ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ภาระการผ่อนชำระเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อพาณิชยกรรมที่เป็นสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารต้นทุนดอกเบี้ยของลูกค้าแต่ละราย
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก คาดว่าช่วงไตรมาส 2 - 3 ของปี 2549 จะเริ่มมีการขยับอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ หลังจากที่ดอกเบี้ยเงินฝากประจำเริ่มขยับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2548
ปรับโครงสร้างลูกค้าเอสเอ็มอีใหม่
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2549 นั้น นายประสาร กล่าวว่า ธนาคารกำลังปรับโครงสร้างสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ใหม่ โดยจะมีผลตั้งแต่เดือนมกราคม 2549 ซึ่งจะแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มลูกค้าขนาดกลาง ที่มียอดขาย 50-400 ล้านบาทต่อปี กลุ่มลูกค้าขนาดเล็กมียอดขายอยู่ที่ 10-50 ล้านบาท และกลุ่มลูกค้าขนาดจิ๋วมียอดขายอยู่ที่ ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
"การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะทำให้การประสานงานระหว่างธนาคารกับลูกค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะทำให้กลุ่มลูกค้าเดิมที่อยู่ในกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ปรับลดลงจากที่มีอยู่ประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท เหลือ 1 แสนกว่าล้านบาท เนื่องจากเดิมลูกค้าเอสเอ็มอีที่มียอดขาย 50-400 ล้านบาท ธนาคารจะจัดเป็นกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อรายย่อย"
เปลี่ยนเกณฑ์ตั้งสำรองฯเข้มขึ้น
ส่วนนโยบายการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญนั้น นายประสาร กล่าวว่า ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ธนาคารได้ปรับเปลี่ยนวิธีการตั้งสำรองฯ ใหม่ โดยพิจารณาจากโอกาสความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกค้าเป็นรายกรณี จากเดิมที่จะตั้งสำรองฯ ตามจำนวนการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจะสะท้อนสภาพความเป็นจริงของลูกหนี้ได้ดียิ่งขึ้น
"วิธีการตั้งสำรองฯ ใหม่ จะทำให้ฐานะของธนาคารมีความแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันธนาคารจะตั้งสำรองฯ ตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือ 1% ของการปล่อยสินเชื่อ แต่แบบใหม่จะตั้งสำรองฯ มากกว่า 1% โดยลูกค้าที่เราเน้นจะเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ ทำให้ธนาคารตั้งตั้งสำรองฯ เพิ่มมากขึ้น โดยไตรมาส 3 มีการตั้งสำรองฯ สูงถึง 1,200 ล้านบาท จากปกติตั้งสำรองฯ ไตรมาสละประมาณ 200-300 ล้านบาท" นายประสาร กล่าว
ด้านแผนการขยายสินเชื่อกลุ่มลูกค้ารายใหญ่นั้น นายบุญทักษ์ หวังเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปี 2549 ธนาคารมีนโยบายขยายสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่ต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายตัวไว้ประมาณ 1-2 เท่าของจีดีพี หรือประมาณ 10% ของพอร์ตสินเชื่อรายใหญ่ที่สิ้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 200,000 ล้านบาท ทำให้สิ้นปี 2549 พอร์ตสินเชื่อรายใหญ่จะอยู่ที่ 210,000 - 220,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วง 10 เดือนแรกที่ผ่านมา พอร์ตสินเชื่อรายใหญ่ของธนาคารขยายตัวประมาณ 8% และคาดว่าในอีก 2 เดือนที่เหลือจะสามารถขยายสินเชื่อได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ที่ 10-12% หรือประมาณ 20,000 - 30,000 ล้านบาท
พัฒนาบริการเสริมรายได้ค่าฟี
นายบุญทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคเอกชนแล้ว ธนาคารยังมีแผนการระดมทุนด้วยวิธีการอื่นๆ ที่หลากหลายให้กับลูกค้าด้วย โดยธนาคารได้จัดทีมวานิธนกิจที่สามารถทำแผนให้ลูกค้าแต่ละรายเลือกระดมทุนตามความเหมาะสมของการใช้เงิน ซึ่งอาจจะผสมการระดมทุนออกตราสารหรือการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์
"ทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ก่อนจะเริ่มนิ่งในกลางปีหน้า ทำให้การกู้เงินจากธนาคารเป็นแหล่งระดมทุนที่ง่ายและเหมาะสมที่สุด เพราะสภาพคล่องยังมีอยู่มาก รวมทั้งมีกำหนดของระยะเวลากู้เงินระดับปานกลาง 5-7 ปี เพราะธนาคารพาณิชย์มีการระดมเงินฝากในระยะสั้นๆ แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง จะทำให้ลูกค้าหันไปสนใจระดมทุนจากตลาดตราสารหนี้มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง"
พร้อมกันนี้ ธนาคารยังมีแผนพัฒนาบริการ Cash Management เพื่อให้บริการแก่ลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมของลูกค้ารายใหญ่เป็น 40-50% ของลูกค้ารายใหญ่ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 30% โดยธนาคารจะขยายบริการให้เครดิตแก่ลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าของลูกค้าธนาคาร จากเดิมลูกค้าธนาคารจะเป็นผู้ให้เครดิตกับลูกค้าที่มีคำสั่งซื้อเอง ซึ่งจะทำให้ลูกค้าธนาคารลดความเสี่ยงและได้รับเงินทันที ขณะที่ธนาคารเองจะได้รับค่าธรรมเนียมจากการให้บริการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการได้ภายในปีหน้า
|
|
|
|
|