ซุปเปอร์บล็อกฯอัดฉีดเงินเข้า 3 โครงการของดาต้าแมทมูลค่า 450 ล้านบาท โดยการกู้เงินจากสถาบันการเงินบางส่วน ชี้ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง ขณะที่ ตลาดฯจี้ชี้แจงให้นักลงทุนมีข้อมูลพิจารณา

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สั่งให้ บริษัท ซุปเปอร์บล็อก จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER ได้แจ้งต่อ ชี้แจงต่อ ตลท.เพิ่มเติมภายใน 18 พ.ย. 2548 นี้หลังจากที่ SUPER ได้แจ้งต่อ ตลท.ว่า จะลงนามในสัญญาบริหารการร่วมงานและร่วมค้าระหว่าง SUPER และ บมจ. ดาต้าแมท (DTM) ใน 3 โครงการประมาณเดือนธันวาคม 2548 โดย SUPER จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินรวมประมาณ 450 ล้านบาทมูลค่าสัญญารวมทั้งสิ้นประมาณ 1,336 ล้านบาท

ทั้งนี้ประกอบด้วยโครงการพัฒนาระบบงานหลักให้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์วงเงินสนับสนุนประมาณ 300 ล้านบาท มูลค่าตามสัญญา 453 ล้านบาท โครงการระบบบริหารความถี่วิทยุอัตโนมัติ สำนักงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ วงเงินสนับสนุนประมาณ 50 ล้านบาท มูลค่าตามสัญญา 123 ล้านบาท

โครงการ Technical Department New EDP Project ซึ่งเป็นโครงการดูแลรักษาเครื่องบินให้แก่ฝ่ายช่าง บมจ.การบินไทย วงเงินสนับสนุนประมาณ 100 ล้านบาท มูลค่าตามสัญญา 760 ล้านบาท

การทำสัญญาและเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่ DTM รวม 450 ล้านบาทนั้นถือเป็นข้อมูลซึ่งอาจกระทบต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของ SUPER จึงขอให้ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้ นโยบายในการดำเนินธุรกิจของ SUPER ว่า การร่วมดำเนินการในโครงการ ทั้ง 3 โครงการนั้นเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัทอย่างไร,รายละเอียดและที่มาของการได้มาซึ่งการร่วมดำเนินการในโครงการทั้ง 3 โครงการ พร้อมเหตุผลที่ SUPERจะทำสัญญาดังกล่าวกับ DTM

นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดของสัญญาบริหารการร่วมทำงานและร่วมค้าเกี่ยวกับความผูกพันและสิทธิหน้าที่ของ SUPER คืออะไรบ้าง,รูปแบบของเงินสนับสนุนเป็นอย่างไร เช่นเป็นเงินให้กู้แก่ DTM หรือเงินลงทุนใน DTM ตลอดจนเงื่อนไขและรูปแบบที่ SUPER จะได้รับเงินสนับสนุนคืนทั้งในส่วนของเงินต้นและผลตอบแทน ระยะเวลาที่ SUPERจะต้องให้การสนับสนุนทางด้านการเงินตลอดจนแหล่งเงินทุนที่ SUPER นำมาลงทุนในโครงการดังกล่าว,หลักการในการกำหนดส่วนแบ่งกำไรตลอดจนอธิบายถึงสัดส่วนและวิธีการคำนวณที่ SUPER จะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมดำเนินการ

ทั้งนี้ SUPER จะทราบได้อย่างไรว่าแต่ละโครงการมีกำไรหรือขาดทุนรวมทั้งกรณีที่เกิดผลขาดทุน จะมีวิธีการแบ่งความรับผิดชอบในผลขาดทุนดังกล่าวหรือไม่อย่างไร ,ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่ DTMไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนด,เนื่องจากมีบางโครงการที่ DTMเริ่มดำเนินการไปแล้ว เหตุใด SUPERจึงเพิ่งจะเข้าไปเป็นผู้ให้การสนับสนุนโครงการ

การที่ DTMเป็นบริษัทที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการและถูกสั่งห้ามการซื้อขายในหมวดREHABCO คณะกรรมการและคณะกรรมการตรวจสอบของ SUPERประเมินความเสี่ยงของ DTM ในฐานะคู่สัญญาหรือไม่ อย่างไรการทำสัญญาบริหารการร่วมงานและร่วมค้าระหว่าง SUPER และDTM เข้าข่ายการทำรายการที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าด้วยเรื่องการเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกันหรือไม่ อย่างไร

นายขุมทรัพย์ โลจายะ กรรมการ บมจ.ซุปเปอร์บล๊อก กล่าวว่า การที่ SUPER จะลงนามในสัญญาบริหารการร่วมงานและร่วมค้าระหว่าง SUPER และ DTM ใน 3 โครงการ เพราะมองว่าธุรกิจอิฐมวลเบาในปัจจุบันี้มีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงทำให้ทางบริษัทพยายามที่กระจายรายได้โดยการนำเงินไปสนับสนุนการลงทุนของธูรกิจที่มองว่ามีศักยภาพในการเติบโตที่ดี

'บริษัทไม่ได้เข้าไปทำธุรกิจเองเพียงแต่นำเงินไปสนับสนุนธุรกิจที่คาดว่าจะสร้างกำไรให้บริษัทได้ดี เพราะในขณะนี้ธุรกิจอิฐมวลเบามีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง' นายขุมทรัพย์กล่าว

ปัจจุบันนี้บริษัทจะมีการะแสเงินสดเพียงประมาณ 100-200 ล้านบาท แต่การที่บริษัทเป็นผู้ให้การสนับสนุนจำนวนเงินประมาณ 450 ล้านบาท นั้นเงินจำนวนดังกล่าวมาจากการกู้บางส่วนซึ่งบริษัทนั้นยังมีความสามารถในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินได้อีก

นายขุมทรัพย์ กล่าวต่อว่า การดำเนินการกับบริษัทร่วมค้าดังกล่าวนั้นจะต้องมีการการันตีผลงาน ซึ่งก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการรับเงินเพราะบริษัทสามารถล็อกสัญญาในการรับเงินได้ซึ่งก็จะช่วยส่งผลให้บริษัทมีรายได้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต

การที่บริษัทจะมีการร่วมค้ากับ DTM ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่รีแฮปโก้นั้นบริษัทยังเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้อีกทั้งบริษัทยังมีการป้องกันความเสี่ยงที่จะได้รับเช่น ต้องมีผลงานการันตีว่าบริษัทจะไม่ขาดทุน หรืออาจมีสถาบันการเงินเข้ามาช่วยเพื่อลดความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง ประกอบกับทางผู้บริหารทั้ง 2 บริษัทมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

สำหรับแผนการร่วมงานและร่วมค้าระหว่าง SUPER และ DTM ใน 3 โครงการ นั้นในขณะนี้ยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญา และคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ทั้งในเรื่องของการแบ่งผลประโยชน์ หรือการประกันความเสี่ยงต่าง ๆ