|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"วังทอง" เล็งขยายฐานลูกค้าลงกลาง-ล่าง รับกำลังซื้อ ผู้บริโภคลด เผยกลางปี 49 เตรียมรุกตลาดอาคารสูงทั้งคอนโดฯ 5-8 แสนบาท ศูนย์การค้า พร้อมเพิ่มสัดส่วนทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว 4 โครงการรวด ระบุพัฒนาโครงการขนาดเล็ก ปิดโครงการเร็ว ป้องกันความเสี่ยงจากเศรษฐกิจผันผวน ด้านผลประกอบการยอดขายเพียง 2,500 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า แจงเหตุยกเลิกเปิดโครงการหลังเจรจาที่ดินไม่ลงตัว
นายปราโมทย์ เจษฎาวรางกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทวังทอง กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ใน ปี 2548 บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการแนวสูง ทั้งคอนโดมิเนียม ระดับราคา 6-8 แสนบาท และศูนย์การค้า (คอมมูนิตี้มอลล์) เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความต้องการของลูกค้า กลุ่มเป้าหมายถึงรูปแบบภายในของ คอนโดฯ เนื่องจากเป็นการเข้าสู่ตลาดนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นต้องให้เกิดความมั่นใจในตัวสินค้าก่อนเริ่มพัฒนา
สำหรับพื้นที่พัฒนาโครงการดังกล่าวนั้นมีที่ตั้งริมถนนวิภาวดี-รังสิต ติดกับศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต บนเนื้อที่ 4 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินเดิมของบริษัท โดยแบ่งพื้นที่ขนาด 2 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น รูปตัวยู 1 อาคาร จำนวน 230 ยูนิต ขนาด 30-50 ตร.ม. ส่วนที่ดิน ที่เหลืออีก 2 ไร่จะพัฒนาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ โดยใช้ศูนย์การค้าเข้ามาเช่าพื้นที่ ส่วนจะมีขนาดเท่าใด นั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา คาด ว่าจะเริ่มพัฒนาได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 2549
ในส่วนของโครงการแนว ราบนั้นบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการจัดสรรระดับราคา 1-1.8 ล้านบาท เน้นสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ขนาด 50-60 ตร.ว. และทาวน์เฮาส์ หน้ากว้าง 5-6 เมตร โดยมีแผนที่จะเปิด 4 โครงการ ในย่านรังสิต ขนาดประมาณ 20 ไร่ จำนวน 200-300 ยูนิต/โครงการ
นายปราโมทย์ กล่าวว่า จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในตลาด ทำให้ค่าใช่จ่ายของผู้บริโภคสูงขึ้นตาม ในขณะที่รายได้ไม่ได้ปรับขึ้นตาม ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง บ้านระดับราคาตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทลงมาจะได้รับความสนใจของตลาดอย่างมาก โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ ซึ่งในบางทำเลขาดแคลน
ดังนั้น บริษัทจึงเล็งเห็นว่าควรจะพัฒนาสินค้าที่มีราคาต่ำลง และขยายไปสู่ตลาดใหม่และทำเลใหม่ๆ เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าให้มากและรองรับกำลังซื้อดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การขยายตลาดใหม่และทำเลใหม่ดังกล่าวจะต้องมีการสำรวจความต้องการที่แท้จริง รวมไปถึงรูปแบบของสินค้าที่จะผลิตออกมาว่าตรงกับความต้องการหรือไม่เพื่อป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ยังพัฒนาโครงการขนาดเล็กไม่เกิน 20 ไร่ เพื่อให้จบโครงการได้เร็ว เพราะเศรษฐกิจในปัจจุบันมีความผันผวนสูง การจบโครงการเร็วก็ลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้
ส่วนแผนการขยายการ ลงทุนไปยังทำเลอื่นๆ นั้นขณะนี้ อยู่ระหว่างหาที่ดินเพื่อมาพัฒนาซึ่งต้องการทำเลย่านรามอินทรา แจ้งวัฒนะ โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาบ้านในระดับแบรนด์ภุมริน ราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากที่ดินที่ได้จะเป็นที่ใกล้เมืองซึ่งมีต้นทุนสูงและเหมาะสำหรับพัฒนาในแบรนด์ดังกล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 2548 นั้นคาดว่าทั้งปีจะมียอดขายประมาณ 2,400-2,500 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 3,000 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุมาจากการยกเลิกเปิด 2 โครงการที่เอกชัย-บางบอน และย่านรังสิต คลอง 3 เนื่องจากเจรจาเรื่องที่ดินไม่ได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันบริษัทมีสินค้ารอขายประมาณ 4,000 ยูนิต ซึ่งสามารถครอบคลุมการขายในปีหน้าได้
|
|
|
|
|