Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน15 พฤศจิกายน 2548
เซียนชี้หุ้นปีจอทรงตัว ตลท.เน้นสร้างเสถียรภาพตลาดฯ             
 


   
search resources

Stock Exchange




ผู้เชี่ยวชาญตลาดทุนประเมินตลาดหุ้นไทยปี 2549-ปีจอ ไม่สดใส อยู่ในลักษณะทรงตัว เหตุมีปัจจัยดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ หวังสร้างเสถียรภาพต่อภาวะการซื้อขาย เล็งเพิ่มนักลงทุนสถาบันให้อยู่ในสัดส่วน 40% ภายในระยะเวลา 5 ปีผ่านกองทุนรวม

วานนี้(14 พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)บีที ได้ร่วมกับรายการ Money Talk จัดสัมมนาเจาะลึกเศรษฐกิจและทิศทางหุ้นปี 2549 ที่ห้องศ.สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญตลาดทุนเปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นในปี 2549 นั้นคาดว่า จะมีลักษณะของการทรงตัว คงจะไม่ปรับตัวขึ้นมาแรงๆ ดังนั้นนักลงทุนจะต้องพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นให้ถูกต้อง จึงจะได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยหุ้นที่น่าลงทุนจะได้แก่หุ้นที่มีค่าพี/อี เรโชต่ำ และมีศักยภาพในการเติบโต ทั้งนี้ทิศทาง ของตลาดหุ้นไทยนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ ภาวะตลาดหุ้นว่าดีหรือไม่ โดยจะพิจารณาจากค่าพี/อี เรโช ซึ่งปัจจุบันนี้ค่าพี/อี เรโชตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 8.8 เท่า และเมื่อพิจารณาค่าพี/อี เรโช ย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยฝยช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา พบว่าค่าพี/อี เรโช โดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 8.7 เท่าซึ่งถือว่าไม่แตกต่างกันมากนักและถ้าพิจารณาจากช่วงที่เศรษฐกิจดีและมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาจะพบว่าค่าพี/อี เรโชโดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับประมาณ 16.8 เท่าและเคยขึ้นมาสูงสุดเกือบ 30 เท่า

อย่างไรก็ตาม หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 จนถึงปัจจุบันค่าพี/อี เรโชปรับตัวลดลง โดยค่าเฉลี่ยพี/อี เรโชจะอยู่ในระดับ 9.4 เท่าและเคยลงมาต่ำอยู่ในระดับ 5-6 เท่าในบางช่วง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าค่าพี/อี เรโชในปัจจุบันนี้ถือว่าไม่อยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป หรือสูงเกินไป

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะตลาดหุ้นได้ โดยขณะนี้กองทุนอสังหาริมทรัพย์บางกองทุนก็กำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับที่ใกล้เคียงกับการลงทุนในตลาดหุ้น ดังนั้นอาจจะทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นปัจจัยที่สองได้แก่กำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาพบว่าบริษัทจดทะเบียนมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงมาก แต่ขณะนี้เชื่อว่ากำไรเริ่มที่จะชะลอลงแล้ว โดยคาดว่าปีหน้าคงจะเพิ่มไม่มากนัก เพราะอุตสาหกรรมหลายประเภทราคาปรับตัวสูงขึ้นมากแล้ว เช่นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี,น้ำมัน เป็นต้น

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ก็เริ่มกลับมาจ่ายภาษีแล้ว จากเดิมที่ไม่ต้องจ่ายเพราะมีขาดทุนสะสมอยู่ แต่เมื่อล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว จึงต้องจ่ายในอัตราประมาณ 30% ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้กำไรของธนาคารพาณิชย์จะลดลงสำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจการลงทุนได้แก่กลุ่มธุรกิจค้าขายสมัยใหม่ เพราะถือว่าบริษัทเหล่านี้มีความมั่นคงสูงและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีหนี้สินน้อย ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าธุรกิจนี้มีการเติบโตอย่างมาก และเชื่อว่าในอนาคตยังมีความน่าสนใจอยู่

ส่วนกลุ่มที่ต้องหลีกเลี่ยงได้แก่หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี, หุ้นที่เกี่ยวกับน้ำมัน,เหล็ก เพราะราคาของสินค้า ดังกล่าวได้ปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา

นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า ภายในปีหน้า ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งตลาด อนุพันธ์ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในไตรมาสแรกปี 2549 และตลาดหลักทรัพย์ฯพยายามที่จะขยายฐานนักลงทุนเพิ่มขึ้นโดยร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์และบลจ. คาดว่าจะมีนักลงทุนเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ในจำนวน 1.1 ล้านคน ซึ่งถือว่าไม่ถึง 2% เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ ดังนั้น จึงถือได้ว่ายังมีโอกาส อีกมากที่จะขยายฐานนักลงทุนเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นางสาวโสภาวดีกล่าวต่อว่า ตลาดหลักทรัพย์พยายามที่จะทำให้ทำให้ภาวะการซื้อขายมีเสถียรภาพ โดยหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น โดยภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้าคาดหวังว่าจะมีนักลงทุนสถาบันในประเทศ 40% นักลงทุนรายบุคคล 40% และนักลงทุนต่างประเทศ 20% จากปัจจุบันนี้สัดส่วนของนักลงทุนสถาบันอยู่ในระดับ8-10% นักลงทุนต่างประเทศประมาณ 20% และนักลงทุนบุคคล 70% ซึ่งแนวทางในการเพิ่มนักลงทุนสถาบันนั้นการส่งเสริมให้นักลงทุน

นอกจากนี้ค่าพี/อี เรโชของตลาดหุ้นไทยยังถือว่าต่ำกว่าค่าพี/อี ของตลาดหลักทรัพย์ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีค่าพี/อี เรโชอยู่ที่ระดับประมาณ 12-14 เท่า

ดังนั้น จึงถือได้ว่าตลาดหุ้นไทยมีส่วนลดให้แก่นักลงทุน และผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน ถือว่าไม่ต่ำจนเกินไปซึ่งใกล้เคียงกับการลงทุนในพันธบัตรที่อยู่ในระดับ 6-7% ในแง่ของความเสี่ยงในตลาดหุ้นถือว่าไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีปัจจัยที่มีผลกระทบในช่วงที่ผ่านมาทั้งการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก, ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ รวมถึงปัจจัยภายนอกต่างๆ และบางปัจจัยเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่นการก่อการร้าย เป็นต้น

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยในปีหน้าจะขยายตัวประมาณ 4.3-5.3% ซึ่งมาจากการลงทุนของภาครัฐและเอกชน และการส่งออก รวมทั้งการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 4-5% ใกล้เคียงกับปีนี้แม้ว่าการบริโภคจะได้รับผลกระทบจากทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ราคาน้ำมันแพง และถูกกดดันจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น แต่ก็ได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของการลงทุน ทั้งนี้คาดว่าอัตราเงินเฟ้อปี 2549 จะขยายตัวประมาณ 3.5-5% ชะลอตัวลงจากปีนี้ เนื่องจากผลของนโยบาย การเงินในการควบคุมเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น

ในขณะที่ดุลการค้ามีแนวโน้มขาดดุลลดลงคาดการณ์ว่าจะขาดดุลระหว่าง 3.7-5.1 พันล้านดอลลาร์ ตามการชะลอตัวลงของการนำเข้าการลงทุน ในโครงการเมกะโปรเจกต์ในปีหน้า โดยเฉพาะในส่วนของระบบขนส่งมวลชนที่อยู่อาศัยทรัพยากรน้ำ และด้านคมนาคม ซึ่งมีวงเงินลงทุนรวมกันประมาณ 2.2 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 4-5 ปีจะมีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นอีกประมาณ1-1.5%

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น มีแรงหนุนจากฟื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่ง และราคาน้ำมันในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น ประกอบกับมีหุ้นที่มีพื้นฐานดีเข้าตลาดฯ แต่จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นของไทยไม่สามารถปรับขึ้นได้มากนัก กลุ่มที่น่าสนใจลงทุนได้แก่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมองว่ายังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ถึงแม้ว่าในอนาคตจะมีการเปิดเสรีการค้ามากขึ้น และมีสถาบันประกันเงินฝาก แต่ก็เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่คงจะไม่ส่งผลกระทบ กลุ่มต่อมาได้แก่กลุ่มโทรคมนาคม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนโครงสร้าง ผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยมีต่างประเทศได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทบางแห่ง

นอกจากนี้ ก็มีกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะบริษัทที่มีสายสัมพันธ์กับทางการเมืองหรือภาครัฐ เพราะจะมีโครงการเมกะโปรเจกต์ ส่วน หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างนั้น ถือว่าไม่น่าสนใจเท่าที่ควร เพราะราคาสินค้าวัสดุก่อสร้าง เช่นเหล็กซีเมนต์ และยางพารา ราคาปรับตัวสูงขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us