|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ก้องเกียรติ" ย้ำอนาคตควบรวมกิจการมากขึ้น ยิ่งเมื่อมีเอฟทีเอ (FTA) กับสหรัฐฯ กลุ่มสถาบันการเงินถูกบีบคั้นให้ควบรวมกันมากขึ้น หวัง สร้างจุดแข็ง "ทิสโก้" ชี้ควบแบงก์ไม่น่าเกิดในอดีตควบไปแล้ว ส่วนโบรกเกอร์ รอดูผลการเปิดเสรีค่าคอมมิชชัน "โกลเบล็ก" เตรียมหาพันธมิตรต่างประเทศรับมือเอฟทีเอ เหตุการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์รุนแรงขึ้นในปีหน้า
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า แนวโน้มการควบรวมกิจการของบริษัทต่างๆ จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีเปิด การค้าเสรี (FTA) กับประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วก็จะเห็นว่ากลุ่มธุรกิจที่จะมีการควบรวมกัน คือ กลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งในกลุ่มนี้ก็จะประกอบไปด้วยธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ ประกันชีวิต ธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (NON-BANK)
ดังนั้น ผู้ประกอบการของไทยจะต้องค่อยๆ ปรับตัวเพื่อที่จะรองรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ซึ่งจะมี 3 ขั้นตอน คือ การเตรียมตัวค่อยๆ เปิดเสรี และเปิดเสรี
"แต่คนไทยชอบยืดเวลาให้ตนเกษียณก่อน และให้คนรุ่นใหม่มาทำ ดังนั้นหากยิ่งยืดเวลาก็จะยิ่งทำให้มีช่องว่างระหว่างคนที่เก่งกับคนที่ไม่เก่งกว้างเกินไป ยิ่งเป็นผลเสีย ซึ่งหากมี FTA กับสหรัฐอเมริกา ก็จะเห็นสถาบันการเงิน คือ แบงก์ บล. และ นอน-แบงก์จับคู่กันมั่ว"
จากที่ผ่านมาก็เห็นว่ามีการควบรวมเกิดขึ้น เช่น ธุรกิจสื่อสาร เพราะทุกวันนี้การแข่งขันไม่ได้แข่งขันกันภายในประเทศแต่จะเป็นการแข่งขันกับต่างประเทศ การที่จะนำเงินของครอบครัวมาทำธุรกิจไม่ได้ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการควบรวมกิจการ เพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งมากขึ้น
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร รองกรรมการ ผู้จัดการ บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า หากอนาคตจะมีการเปิดการค้าเสรี บริษัทขนาดเล็กก็อาจจะได้รับผลกระทบ ดังนั้น จึงจะต้องมีการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเอง ซึ่งก็ทำได้หลายวิธี คืออาจจะมีการควบรวมกัน โดยหากจะมีการควบรวมกันก็จะต้องมีการควบรวมกับบริษัทที่มีลักษณะไม่คล้ายกัน เพื่อเสริมจุดแข็งให้แก่กันและกัน
ทั้งนี้ หากมีการเปิดเสรีมองว่า ธุรกิจธนาคารพาณิชย์กันสถาบันการเงินนั้นจบไปแล้ว ส่วนบริษัทหลักทรัพย์มองว่าไม่น่ามีอะไรเพราะ ยังไม่มีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชัน
นายณัฐวุฒิ เขมะโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน)(GBX) เปิดเผยว่า การเปิดเสรีการค้าเชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจหลักทรัพย์ในปีหน้ามีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น เพราะจะมีบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาเป็นคู่แข่งมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด นั้นก็เตรียมที่จะหาพันธมิตรจากต่างประเทศเข้ามาร่วมธุรกิจ เพื่อทำให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับต่างประเทศหลาย แห่งแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
สำหรับการร่วมทำธุรกิจกับต่างประเทศนั้นจะเป็นลักษณะของการร่วมทุนหรือทำธุรกิจเท่านั้น ขึ้นอยู่กับการเจรจาว่าพันธมิตรจากต่างประเทศจะเกื้อหนุนธุรกิจของบริษัทได้มากน้อยเพียงใด เช่นในการช่วยหาลูกค้า รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการสนับสนุนธุรกิจ
ด้าน ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)(AYS) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้องว่าธุรกิจไทยจำเป็นต้องมีการก้าวไปข้างหน้า ซึ่งการเปิดเสรีทางการเงินเป็นช่องทางหนึ่งที่จะผลักดันให้เกิดการแข่งขันในระดับโลก โดยเฉพาะธุรกิจการเงินที่มีขนาดเล็กจะมีความลำบาก ในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นตามลำดับยิ่งเมื่อเกิดการเปิดเสรีจะทำให้จับเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงกิจการเพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะทุกประเภทที่เกี่ยวกับการให้บริการ ที่จะมีการควบรวมกิจการจำนวนมาก เนื่องจากต้องมีการแข่งขันกันในระดับโลก
ทั้งนี้ ในส่วนของบล.กรุงศรีอยุธยาเห็นว่าในปีหน้าการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์จะมีความ รุนแรงมากขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการปรับภาพลักษณ์ ใหม่ โดยเฉพาะในแง่ของการให้บริการ เพื่อให้บริการ ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น
|
|
|
|
|