จับตาพิษน้ำมัน-ดอกเบี้ยขึ้น ส่งสัญญาณร้ายต่อกลุ่มอสังหาฯ ที่พัฒนาที่อยู่อาศัย หลังยอดขายในช่วง 9 เดือน เข้าสู่ภาวะขาลง ด้าน SC ธุรกิจอสังหาฯ ตระกูลชินวัตรกำไรตกวูบเกือบ 21% ค่ายยักษ์ใหญ่แบรนด์บ้านหรูอย่าง "คิวเฮ้าส์" แม้ยอดรายได้สะสมยังเติบโตกว่า 5,000 ล้านบาท แต่กำไรลดลง ผลจากยอดรายได้จากธุรกิจขายบ้านพร้อมที่ดินลดลง รวมถึงจ่ายเบี้ยปรับแก่กรมสรรพากร ด้าน "ศุภาลัย" สวนกระแสไตรมาส 3 กำไรพุ่งกว่า 200% ฟุ้งหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1% สวนทางการโหมเปิดโครงการใหม่หลายทำเล
จากการปรับตัวของราคาน้ำมัน ซึ่งได้ส่งผลให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับปัจจัยทางด้านอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มอยู่ในทิศทางขาขึ้น ได้เป็นแรงกดดันที่สร้างภาระการผ่อนชำระที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ซึ่งการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย 1% จะมีผลอย่างมากต่อค่าใช้จ่ายในการจ่ายดอกเบี้ยถึงระดับ 8%
ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจแม้ยังเติบโต แต่เป็นอัตราที่ลดลง นอกจากนี้ รายได้ของประชาชนยังคงไม่เพิ่มขึ้น สวนทางกับค่าครองชีพ ที่จะสูงอย่างต่อเนื่อง และจากปัจจัยลบดังกล่าว ได้เริ่มก่อปัญหาและสร้างผลกระทบต่อยอดขายและกำไรของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจากการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่ทยอยแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า รายได้จากการขายและกำไรในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ลดลง ได้แก่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจพัฒนาที่ดินตระกูลชินวัตร บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 205.76 ล้านบาท ลดลง 54.38 ล้านบาท หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกำไรลดลง 20.90% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่งวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.48 มีกำไรสุทธิ 25.28 ล้านบาท ลดลง 81.63 ล้านบาท หรือ 76.35% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 47 ส่วนรายได้จากการขาย ขณะที่รายได้จากการขายสำหรับไตรมาส 3 และสำหรับงวด 9 เดือนลดลงจำนวน 178.44 ล้านบาทและ 98.56 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83.38% และ 19.34% ตามลำดับ
ส่วนรายได้ค่าเช่าและบริการ เพิ่มขึ้นจำนวน 9.80 ล้านบาท และ 49.92 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.77% และ 10.29% ตามลำดับ เนื่องจากมีผู้เช่าพื้นที่อาคารชินวัตร ทาวเวอร์ 3 เพิ่มขึ้นโดยมีอัตราการเช่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2548 เท่ากับ 91.67% นอกจากนี้กำไรขั้นต้นไตรมาส 3 เท่ากับ 110.62 ล้านบาท ลดลง 66.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 37.42% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับงวด 9 เดือน เท่ากับ 467.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่ากับ 17.30 ล้าน บาท หรือคิดเป็น 3.85% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนบริษัทปรีชา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 120.33 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 47 มีกำไรสุทธิ 51.12 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้ บริษัทมีกำไรจากการกลับบัญชีรายการขาดทุนจากการลดมูลค่าที่ดินเป็นจำนวน 52.01 ล้านบาท และบริษัทฯ มีกำไรจากการโอนทรัพย์ชำระหนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 28.33 ล้านบาท
ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายลดลงเท่ากับ 3.88 ล้านบาท, บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ในงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิเท่ากับ 148.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173.03% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของ ปี 47 เท่ากับ 54.26 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้รับรู้จากโครงการใหม่ 2 โครงการ คือ โครงการสิริทาวารา และโครงการปริญญดา วงแหวนสาทร และโครงการเก่าที่เปิดขายและมาทยอยรับรู้ รายได้ส่วนใหญ่ในปี 2548 จำนวน 3 โครงการ อัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดรายได้ปีนี้ เท่ากับ31.65% (ปี 47 อยู่ที่ 30.45%)เพิ่มขึ้น 1.20% เนื่องจากสามารถบริหารต้นทุนขายได้ลดลงจากปีก่อน ขณะที่บริษัทไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิไตรมาส 3 อยู่ที่ 64.736 ล้านบาท เทียบ กับปี 47 อยู่ที่ 24.805 ล้านบาท และงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 107.286 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 47 ที่มีกำไรสุทธิ 237.815 ล้านบาท
นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัด บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นเจ้าตลาดในโครงการบ้านหรูระดับพรีเมียม เครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวยอมรับว่า สำหรับไตรมาส 3 มีผลการดำเนินงานของธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง และยอดสะสม 9 เดือน สิ้นสุดงวดเดียวกันของปี 48 มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น รวมถึงธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยรายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินไตรมาส 3 ปีนี้ มีจำนวน 1,483.4 ล้านบาท ลดลง 200.8 ล้านบาท หรือลดลง 11.9% รายได้จากการขายห้องชุดพักอาศัยไม่มีรายได้ รวมบริษัทมีรายได้รวม 1,784.3 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปี 47 อยู่ที่ 1,976 ล้านบาท ลดลง 9.7% ขณะที่งวด 9 เดือน รายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินเพิ่มขึ้น 14.2% โดยมีจำนวน 4,555.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 567.8 ล้านบาท และมีรายได้รวมทั้ง 9 เดือน อยู่ที่ 5,451.6 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 47 อยู่ที่ 4,788.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 663.1 ล้านบาท หรือเปลี่ยนแปลงขึ้น 13.9% เนื่องจากบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการเปิดการขายโครงการใหม่อีก 6 โครงการ
ประกอบด้วย โครงการลัดดารมย์ Elegance เชียงใหม่ ถนนวงแหวน หน้ามหาวิทยาลัยพายัพ ในไตรมาส 2 ของปี 2547, โครงการพฤกษ์ภิรมย์ Regent สุขุมวิท, โครงการพฤกษ์ภิรมย์ สาทร-ธนบุรีตัดใหม่ และโครงการลัดดารมย์เอกมัย-รามอินทรา ในไตรมาส 3 ของปี 2547, โครงการ ลัดดารมย์ วัชรพล ในไตรมาส 2 ของปี 2548 และโครงการลัดดารมย์ Elegance รามคำแหง ในไตรมาส 3 ของที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิช่วง ไตรมาส 3 และยอดสะสม 9 เดือน ลดลงเป็นจำนวนเงิน 112.7 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 33.5% และลดลงเป็นจำนวนเงิน 120.6 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 16.1% ตามลำดับ เนื่องจากยอดรายได้จากธุรกิจขายบ้านพร้อมที่ดินลดลง รวมทั้งบริษัทฯ ได้มีการชำระเบี้ยปรับทางภาษีมูลค่าเพิ่มแก่กรมสรรพากรเป็นจำนวนเงิน 26.4 ล้านบาท และได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นจากคดีฟ้องร้องในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปี 48 เป็นจำนวนเงิน 16.3 ล้านบาท และ 19.4 ล้านบาท ตามลำดับ รวมเป็นเงิน 35.7 ล้านบาท "
รายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินที่ลดลง จำนวน 200.8 ล้านบาท เนื่องจากภาวการณ์แข่งขันเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ซื้อบ้านพร้อมที่ดินชะลอการซื้อ ขณะที่รายได้จากการขายห้องชุดพักอาศัยที่ลดลง 8.6 ล้านบาท เป็นเพราะบริษัทได้จำหน่ายห้องชุดพัก อาศัยหมดแล้วในปีที่ผ่านมา" นางสุวรรณากล่าว
"ศุภาลัย" สวนกระแสโตยอดขาย-กำไรพุ่ง
นางวารุณี ลภิธนานุวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ไตรมาสนี้เท่ากับ 1,084.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน668.23 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 160.69 % สาเหตุหลักมาจากยอดขายไตรมาส 3 ปีนี้ ไม่รวมโครงการซิตี้โฮม (รัชดาภิเษก) ดีกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว และนอกจากนี้บริษัทฯรับรู้รายได้จากการขายอาคารชุดใหม่ 2 โครงการ ที่ยังสร้างไม่เสร็จตามเกณฑ์การรับรู้รายได้ตามอัตราส่วนของงานที่สำเร็จ
"แม้ว่าราคาวัสดุก่อสร้างจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ และบริษัทย่อยยังคงนโยบายไม่ปรับราคาบ้านเพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อยลดลง อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นยังคงสูงกว่า 40% อยู่ที่ระดับ 44% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นางวารุณี กล่าว
สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 3 เท่ากับ 268.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 88.57 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 203.12% ทำให้มีอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวมอยู่ที่ 23.89% และจากผลประกอบการที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่สามารถคงอัตรากำไรขั้นต้น ต่อรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เกิน 40% ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันกับไตรมาสก่อน อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.97 เท่า เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ซึ่งอยู่ที่ 0.88 เท่า ทั้งที่ในปีนี้บริษัทฯ ใช้เงินลงทุนมากขึ้นจากการขึ้นโครงการใหม่หลายโครงการ แต่ภาระหนี้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยสะท้อนให้เห็นถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
|