|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
*จัดสรรรายใหญ่ไม่หวั่นกำลังซื้อบ้านแพงหด
*ลุยโครงการหรูตั้งแต่รอบสุวรรณภูมิ ยันชลบุรี พัทยา และระยอง รับกำลังซื้อเจ้าของกิจการ พนักงานสายการบิน
*ด้านรายเล็กปรับตัวหนีตาย หันแบ่งพื้นที่เช่า ป้องกันความเสี่ยงหากยอดขายอืด
จัดสรรรายใหญ่ไม่หวั่นกำลังซื้อระดับบนหด เร่งปั้นแบรนด์ผุดโครงการบ้านหรู หวังรับอานิสงส์สุวรรณภูมิ ขยายฐานลูกค้า ชลบุรี-พัทยา-ระยอง เล็งเจาะตลาดเจ้าของกิจการ พนักงานสายการบิน ด้านรายเล็กโดดลุยตลาดบ้านหรู โชว์แผนการตลาดรูปแบบใหม่ กันพื้นที่แบ่งเช่า เจาะกลุ่มผู้บริหารชาวต่างชาติ ป้องกันความเสี่ยงหากโครงการยอดขายอืด
โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมินอกจากจะทำให้เกิดการจ้างงาน อันเป็นผลมาจากการลงทุนใหม่ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนแล้ว การพัฒนาโครงการสนามบินสุวรรณภูมิยังส่งผลให้พื้นที่โดยรอบและบริเวณใกล้เคียงมีศักยภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย หรือการลงทุนใหม่ๆ ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มองเห็นโอกาสในการลงทุนพัฒนาโครงการในรูปแบบต่างๆ ทั้งโครงการจัดสรร โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม รีสอร์ท ตลอดจนศูนย์การค้า บริเวณรอบสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการย้ายถิ่นฐานของพนักงานที่ทำงานในสนามบิน ซึ่งจะทำให้พื้นที่โดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิเกิดการขยายตัวในรูปแบบของชุมชนเมืองมากขึ้น
โซนตะวันออกขยายตัว
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมินอกจากจะทำให้พื้นที่ในโซนตะวันออกของกทม. เช่น ประเวศ ลาดกระบัง กิ่งแก้ว อ่อนนุช ศรีนครินทร์ และพื้นที่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการจะมีศักยภาพในการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มศักยภาพให้กับพื้นที่ในจังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออก ทั้งชลบุรี พัทยา ไล่เรื่อยไปจนถึงระยอง
ด้วยศักยภาพของพื้นที่ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัวควบคู่ไปกับการลงทุนใหม่ๆ เพราะที่อยู่อาศัยเป็น 1 ในปัจจัย4 ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ทำให้ธุรกิจบ้านจัดสรรก็ยังคงมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสทองของธุรกิจอสังหาฯในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายตัวของเมือง และรองรับความต้องการของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมของตลาดบ้านระดับบนที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปจะชะลอตัวลง เนื่องจากปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา แต่การลงทุนใหม่ๆ ในธุรกิจจัดสรรยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ส่วนใหญ่จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนพัฒนาโครงการจัดสรรที่มีราคาขายต่ำลง หรือเฉลี่ยราคาขายต่อยูนิต ตั้งแต่ 1-5 ล้านบาท เพื่อรองรับฐานลูกค้าระดับกลาง ซึ่งเป็นตลาดเดียวที่ยังมีกำลังซื้อและมีความต้องการจริง
แต่ผู้ประกอบการบางรายก็แหวกแนวตลาด หนีการแข่งขันในตลาดระดับกลางที่ค่อนข้างรุนแรง โดยฉีกรูปแบบการพัฒนาโครงการให้แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ เน้นทำตลาดโครงการที่อยู่อาศัยระดับบน เพื่อรองรับกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคระดับบน เพราะเชื่อว่าเป็นตลาดที่ยังมีกำลังซื้อ และมีขีดความสามารถในการขยายตัว แม้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลให้ตลาดบ้านระดับบนมีความถี่ในการขายที่ค่อนข้างเอื่อยไปจากเดิม เนื่องจากระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถทำตลาดได้แม้จะต้องใช้เวลาปิดการขายล่าช้าไปจากเดิม
อี สตาร์ฯปั้นแบรนด์เจาะบ้านหรู
จากนักพัฒนาที่ดินที่เน้นการลงทุนใน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นทำเลทองในการดำเนินธุรกิจ บมจ.อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท ตัดสินใจยอมเบนเข็มการลงทุนเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกทม.อย่างเต็มตัวในปีที่ ผ่านมา โดยประกาศพัฒนาโครงการจัดสรรภายใต้แบรนด์ "The Star Estate" ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ที่ อีสเทอร์น สตาร์ฯ หมายมั่นปั้นมือว่าจะใช้เป็นแบรนด์หลักในการทำตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ทั้งในรูปแบบของโครงการแนวราบและแนวสูง
แม้ว่า อีสเทอร์น สตาร์ฯจะมีแลนด์แบงก์ที่ตั้งอยู่ในเขต กทม. ไม่มากนัก แต่ผลจากการร่วมทุนกับกลุ่มผู้ถือหุ้นของสถานีโทรทัศน์สีช่อง7 ซึ่งมีกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยาถือครองหุ้นอยู่ด้วย ทำให้การหาพื้นที่ลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ของ อีสเทอร์น สตาร์ฯ ไม่ใช่เรื่องยากนัก และเอื้อประโยชน์ต่อการลดต้นทุนที่ดิน
อีสเทอร์นสตาร์ฯ ถือหลักการลงทุนภายใต้แนวคิดพัฒนาโครงการที่มีจำนวนยูนิตน้อย แต่เน้นตั้งราคาขายสูง เพื่อเจาะฐานลูกค้าในระดับบน โดย อีสเทอร์น สตาร์ฯ วางกรอบนโยบายที่ชัดเจนในการลงทุนพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกทม.ว่า ทุกโครงการจัดสรรที่อยู่ภายใต้แบรนด์ "The Star Estate" ทั้งในรูปแบบของบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม จะต้องเป็นที่อยู่อาศัยที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน และระดับกลางบนเป็นหลัก และยืนยันว่าจะไม่ลงมาทำตลาดระดับแมสโดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่มีราคาขายต่ำกว่า 3-5 ล้านบาทต่อยูนิต เพราะมองว่าตลาดระดับบนยังมีความต้องการอีกมาก แม้จะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ก็เป็นโอกาสในการสร้างยอดขายให้กับบริษัท
ชัชวิน เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการบริหาร กำกับดูแลด้านการตลาด บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้เปิดการขายโครงการ เดอะ สตาร์ เอสเตท แอท พัฒนาการ (The StarEstate @ Pattanakarn)อย่างเป็นทางการ โดยโครงการดังกล่าวเป็นบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล จำนวน 57 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 16 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่า 1,150 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์"ความแตกต่างที่คุณมองหา" สะท้อนถึงแบบบ้านที่สวยงามหรูหรา มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ซ้ำแบบใคร ซึ่งบริษัทตั้งเป้ายอดขายในเฟสแรกจำนวน 16 ยูนิต มูลค่า 320 ล้านบาท ขณะนี้มียอดจองแล้ว 4 ยูนิต และมีบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอน 9 ยูนิต
แผ่นดินทองมั่นใจทำเลทอง
แม้ว่า บมจ.แผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จะอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และยังไม่มีความชัดเจนด้านแผนการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า แต่โครงการปัจจุบันที่อยู่ระหว่างเปิดการขาย ภายใต้ความดูแลของ คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ ประธานกรรมการ(รักษาการ) บมจ.แผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป
โดยมีโครงการบ้านเดี่ยวที่อยู่ระหว่างเปิดการขาย 4 แห่ง คือ เดอะ ปาล์ม ซึ่งเป็นเฟสใหม่ในโกลเด้น เลเจ้นท์ ที่มียอดขายแล้ว 650 ล้านบาท , โกลเด้นท์ นครา-บ้านศรีนครินทร์ ยอดขาย 500 ล้านบาท, แกรนด์ โมนาโค ซึ่งเป็นโครงการบ้านหรูย่านบางนาที่จะเปิดการขายในเฟสใหม่ภายใต้ชื่อ Princely Lakeside Residences บ้านหรูริมทะเลสาบจำนวน 22 ยูนิต ที่คาดว่าจะมียอดขาย 650 ล้านบาทในปีนี้ และโกลเด้น เฮอริเทจ-บ้านปิ่นเกล้า ซึ่งมียอดขายแล้วกว่า 800 ล้านบาท
โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 4 จะมียอดขายเพิ่มอีก 800 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายในปีนี้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3,500 ล้านบาท คิดเป็นยอดรับรู้รายได้จากการโอนโครงการบ้านเดี่ยว 2,300-2,600 ล้านบาท แม้ว่าโครงการของ แผ่นดินทองฯ จะจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในตลาดระดับบน แต่ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขาย เพราะด้วยทำเลที่ตั้งและศักยภาพของโครงการที่อยู่ตามแนวเครือข่ายการขนส่งระบบราง และอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง เช่นในย่านบางนา ทำให้การทำตลาดของ แผ่นดินทองฯ ไม่ยากเย็นนัก เพราะสามารถขยายตลาดบ้านหรูเจาะกลุ่มลูกค้าประเภทเจ้าของกิจการ และลูกค้าต่างชาติได้
รายย่อยแบ่งให้เช่ากันเสี่ยง
ด้านสมศักดิ์ อวกุล ประธานกรรมการ บริษัท ชูยศและบุตร จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคาแนล วิลล์ ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวระดับบนที่มีราคาขาย 10-16 ล้านบาทต่อยูนิต ในย่านศรีนครินทร์ กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการคือเจ้าของกิจการในละแวกใกล้เคียง และผลพวงจากสนามบินสุวรรณภูมิทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ในกลุ่มพนักงานสายการบิน และชาวต่างชาติ ซึ่งต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนยูนิตที่เปิดการขายรวมทั้งสิ้น 40 ยูนิต
ทั้งนี้บริษัทได้ป้องกันความเสี่ยงหากตลาดระดับบนเกิดการชะลอตัว ด้วยการจัดสรรบ้านเดี่ยวจำนวน 10 ยูนิต เพื่อเปิดให้กับชาวต่างชาติเช่าพักอาศัย ในราคา 120,000 บาทต่อยูนิตต่อเดือน โดยเจาะตลาดผู้บริหารในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ อิเล็คทรอนิกส์ ในย่านอีสเทิร์นซีบอร์ด ทำให้เหลือบ้านที่ขายเพียง 30 ยูนิต ซึ่งหากไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้าบริษัทก็จะนำบ้านที่กันไว้ปล่อยเช่ามาขาย
|
|
|
|
|