|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เดือนกันยายนที่ผ่านมานักท่องเที่ยวกว่า 1.7 ล้านคนที่เดินทางเข้าฮ่องกงคงสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จเบื้องต้นของการเปิดดิสนีย์แลนด์ ขณะที่ความใฝ่ฝันของฮ่องกงที่จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 16 ล้านภายในปี 2005 นั้นดูเหมือนจะไม่ไกลเกินจริง ซึ่งแม้แต่คนไทยเองก็เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวฮ่องกงมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 22.7%เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกัน
ส่งผลให้ธุรกิจการบินมีจำนวนคนเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะต้องต่อสู้กับภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจและพิษของราคาน้ำมันก็ตาม การปรับตัวเพื่อรับกระแสของดิสนีย์แลนด์ของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 48 จึงหนีไม่พ้นเรื่องของการจัดแพคเกจอัดเข้าไปในการเดินทางกับคาเธ่ย์ฯ
การทำตลาดที่เน้นหนักไปการทำโปรโมชั่นของสายการบินคาเธ่ย์ครั้งนี้สามารถสังเกตเห็นได้จาก การจัดแพ็คเกจ “ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ ” ที่มีตั้งแต่เฟสแรก จนถึงเฟสที่สาม โดย 2 เฟสแรกมียอดขายแพ็คเกจประมาณ 600-700 คน ส่วนแพ็คเกจชุดที่ 3 นี้ทาง ยงยุทธ ลุจินตานนท์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดประจำประเทศไทยและพม่า คาดว่า จะมียอดทะลุไม่ต่ำกว่า 1,000 คน
“สาเหตุที่เราตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า 1,000 คนนั้น เพราะกระแสการตอบรับที่ดีของนักท่องเที่ยวไทยที่มีต่อแพ็คเกจท่องเที่ยวฮ่องกงใน 2 เฟสแรกดีมาก และราคาแพ็คเกจเองนั้นเริ่มต้นที่ 19,300 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่า ถ้าเทียบกับแพ็คเกจของสายการบินอื่น ๆ” ยงยุทธ มองถึงความสดใสในแพ็คเกจ “ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์”
ในราคาแพ็คเกจที่ 19,300 บาทนี้ รวมตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฮ่องกง บัตรผ่านประตูเข้าดิสนีย์แลนด์ ค่าภาษีสนามฮ่องกง ค่าประกันภัยการเดินทาง พร้อมห้องพักโรงแรม 2 คืนซึ่ง จุดเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวในแพ็คเกจนี้ได้ก็คือ “การพักในโรงแรมของดิสนีย์แลนด์ 1 คืน และโรงแรมชั้นนำในฮ่องกงอีก 1 คืน ซึ่งแพ็คเกจอื่นไม่มี แต่เรามีเสริมให้ เพราะลูกค้าต้องการค้างคืนที่ดิสนีย์แลนด์ด้วย ไม่ใช่แค่ตามโรงแรมที่ไหนก็ได้เพียงอย่างเดียว” ยงยุทธ กล่าว
การจัดแพ็คเกจนี้จะลากยาวไปถึงวันที่ 31 มีนาคม 2549 เพื่อดึงนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีที่มีวันหยุดมาก อย่างคริสมาสต์ วันขึ้นปีใหม่ มาเที่ยวที่ฮ่องกง โดยผ่านสายการบินคาเธ่ย์ฯ ให้มากที่สุด นอกจากนี้ไม่เพียงแค่นักท่องเที่ยวไทยที่จะใช้ซื้อแพ็คเกจนี้ นักท่องเที่ยวชาวพม่า เขมร ลาว ก็หันมาซื้อแพ็คเกจนี้เช่นเดียวกัน โดยคิดเป็น 10% ของจำนวนผู้ซื้อแพ็คเกจนี้ทั้งหมด ในช่วงเฟส 1 และ 2
ลำพังทรัพยากรธรรมชาติหรือสถานที่ท่องเที่ยวของเกาะฮ่องกงเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะดึงนักท่องเที่ยวให้เข้าไปได้ตลอดปี ดังนั้นทางการท่องเที่ยวของฮ่องกง จึงพยายามจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นมาเรียกนักท่องเที่ยวให้เดินทางมา บวกกับการวางตัวเองให้เป็นสถานที่ช้อปปิ้งที่สามารถบินไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่จำเป็นต้องรอฤดูกาลท่องเที่ยว เหมือนกับสถานทีท่องเที่ยวตามธรรมชาติต่าง ๆ
ดังนั้น การจัดอีเว้นท์ หรือกิจกรรมบนเกาะฮ่องกงต่าง ๆ อย่าง “กีฬาแข่งม้าระดับโลกที่ฮ่องกง (Hong Kong International Races)” ซึ่งกิจกรรมนี้จะดึงนักท่องเที่ยวให้เข้าไปชมได้อย่างมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไทย ซึ่งตรงนี้ทางคาเธ่ย์ แปซิฟิค จึงจัดแพ็คเกจขึ้นมารองรับตลาดคนไทยตรงนี้ด้วย ภายใต้ชื่อ “Fly n’See hong Kong International Races” โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 21,100 บาท พร้อมตั๋วเข้าชมการแข่งขัน เครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-ฮ่องกง ห้องพักโรมแรม 2 คืน ฯลฯ หรือแม้แต่แพ็คเกจอย่าง “ฮ่องกงซูเปอร์ซิตี้” ที่จัดมานานกว่า 10 ปีแล้ว มียอดนักท่องเที่ยวประมาณ 6,000-7,000 คนต่อปี ก็เป็นแพ็คเกจที่สร้างรายได้ให้กับคาเธ่ย์ แปซิฟิคมานนานแล้วเช่นกัน
ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา คาเธ่ย์ฯ เติบโตมากกว่า 20% แต่ว่ามีผลกำไรแค่ 5 ร้อยกว่าล้านเหรียญยูเอสเอ ซึ่งทางคาเธ่ย์ฯ ถือว่ากำไรลดลงจากปีที่แล้วถึง 70% เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ดังนั้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 นี้ ทางคาเธ่ย์ฯ จึงอัดโปรโมชั่นเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อหวังดึงรายได้และอัตราการเติบโตให้สูงขึ้น ด้วยการเพิ่มเที่ยวบินตรงจากฮ่องกสู่ลอนดอนเป็นวันละ 4 เที่ยวบิน จากเดิมที่บินอยู่วันละ 3 เที่ยวบิน ถือได้ว่าคาเธ่ย์เป็นเพียงสายการบินเดียวในเอเชียที่ให้บริการในเที่ยวบินนี้มากที่สุด ในขณะที่เส้นทางจากกรุงเทพฯ-อินเดีย ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความถี่ในการบินให้มากขึ้น จาก 4 เที่ยวต่อสัปดาห์ เป็น 7 เที่ยวต่อสัปดาห์ กลุ่มลูกค้าที่มีมากขึ้นจนคาเธ่ย์ฯ ต้องเพิ่มความถี่ในการบิน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนักธุรกิจที่ไปทำการค้า หรือไปลงทุน กลุ่มต่อมา คือกลุ่มชาวอินเดียในไทย ที่เดินทางกลับประเทศ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่เดินทางเยอะสุด และที่สุดด้วย ในขณะที่กลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มที่เดินทางเข้าอินเดียเพื่อไปทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น กิจกรรมทางศาสนา
นอกจากนี้ทางคาเธ่ย์ฯ ยังใช้โอกาสครอบรอบ 25 ปี มาเป็นตัวจัดอีเว้นท์เพื่อกระตุ้นยอดผู้ใช้บริการให้สูงขึ้น ด้วยการออกแคมเปญ “เอเชีย ไมล์ 2 เท่า” สำหรับผู้ที่เดินทางสู่กรุงลอนดอน ซึ่งถือว่าเป็นการโปรโมทเส้นทางบินที่เปิดใหม่ พร้อมๆ กับการกระตุ้นยอดขายไปด้วยในตัว แต่ทั้งนี้ ทางคาเธ่ย์ฯ เองได้ตีวงจำกัดให้เฉพาะผู้ที่เป็นสมาชิกเอเชียไมล์เท่านั้น ที่จะได้รับของรางวัลจากแคมเปญนี้
ช่องทางการตลาดที่คาเธ่ย์หยิบนำมาใช้
ภาพรวมของตลาดคนไทยที่เดินทางเข้าฮ่องกง ถือว่ามีมากขึ้นกว่าเดิมถึง 20% ซึ่งถือว่าดีที่สุดที่ทางคาเธ่ย์ได้ทำตลาดมากว่า 50 ปี ซึ่งมี 4 ปัจจัยเป็นตัวกระตุ้น
* การทำโปรโมชั่น และแคมเปญต่าง ๆ ที่คาเธ่ย์ ได้ทำมาโดยตลอด
* การมีตารางเวลาบินที่ค่อนข้างถี่และครอบคลุมในแต่ละสัปดาห์ ผู้ใช้บริการสามารถเลือกบินได้ง่ายขึ้น
* ตลาดในฮ่องกงมีโอกาสเติบโตสูงในแง่ของธุรกิจ MICE เพราะเป็นศูนย์การจัดสัมมนาและนิทรรศการต่าง ๆ มากมาย
* มีบริการเสริมทางด้านบริการออนไลน์ ที่เอื้อให้ผู้โดยใช้บริการทางคาเธ่ย์ฯ ได้สะดวกขึ้น
ผลงานที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
รางวัลที่คาเธ่ย์ แปซิฟิค ได้รับจากสถาบันสกายแทร็กซ์
: สายการบินแห่งปี (Airline of the Year)
: รางวัลสายการบินยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Best Airline Asia) จากงาน TTG Asia Travel Awards Airline of the Year 2005
: สายการบินแห่งปี (Airline of the Year)
: สายการบินยอดเยี่ยมแห่งเอเชียเหนือ (Best Airline North Asia)
|
|
|
|
|