|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"สมคิด" จี้ธุรกิจประกันชีวิต และประกันภัยปรับโครงสร้างความเข้มแข็งธุรกิจให้มากขึ้น รองรับการเปิดเสรีภาคการบริการที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ไม่ใช่จะรอมาตรการภาษีจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว พร้อมเปิดช่องให้ธุรกิจประกันลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นได้ แนะกรมการประกันภัยประชุมหารือภาคธุรกิจสร้างความแข็งแกร่งธุรกิจก่อนหามาตรการเสริม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือและมอบนโยบายต่อกรมการประกันภัย ว่า เท่าที่กรมการประกันภัยสรุปผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา และแผนยุทธศาสตร์ของการพัฒนาธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตในอนาคตนั้น เห็นว่าอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยและประกันชีวิตของไทยยังขาดการพัฒนาที่จะสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ดังนั้น จึงอยากให้กรมการประกันภัยและสมาคมประกันวินาศภัย สมาคมประกันชีวิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อปรับแผนโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวของไทยให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้
"ผมเห็นว่าธุรกิจประกันวินาศภัย และประกันชีวิตของไทยยังไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ ไม่เช่นนั้น อนาคตเมื่อเปิดเสรีภาคประกันธุรกิจ ของไทยจะไม่สามารถแข่งขันธุรกิจข้ามชาติได้ ที่สำคัญการสร้างธุรกิจให้เกิดความเข้มแข็งไม่ใช่จะอยู่ที่ต้อง รอมาตรการช่วยเหลือภาครัฐ เช่น มาตรการด้านภาษีเพียงอย่างเดียว เพราะมาตรการภาษีถือเป็นมาตรการ สุดท้ายที่จะช่วยเหลือ แต่จะทำอย่างไรให้ภาคธุรกิจสามารถสร้างความเข้มแข็งในทุกด้าน ทั้งภาค ธุรกิจ และความน่าเชื่อถือ เพราะหากดูจำนวนผู้ทำประกันชีวิตและภาคธุรกิจ เติบโตเพียงปีละ 10% เห็นว่ายังมีสัดส่วนที่น้อยมาก" นายสมคิดกล่าว
นายสมคิดกล่าวว่า ได้ให้นโยบายกรมการประกันภัยไปหารือร่วมกับสมาคมต่างๆ ที่จะกระตุ้นให้คนไทยทั้งประเทศหันมาทำประกันชีวิตในรูปแบบต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เพราะขณะนี้กลุ่มคนไทยส่วนใหญ่มองว่าการทำธุรกิจประกันเป็นเรื่องที่ไกลตัว ดังนั้น จะทำอย่างไรเพื่อให้คนไทยตระหนักหันมาทำประกันชีวิตในรูปแบบต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน จะต้องสร้างจิตสำนึกให้บริษัทประกันทั้งชีวิต และประกันวินาศภัยกว่า 100 แห่ง ควรหันมาสร้างและพัฒนาด้านสังคมให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะหากสามารถสร้างจุดเหล่านี้ได้อย่างมั่นคง มาตรการด้านภาษีที่ภาคเอกชนขอมา ภาครัฐสามารถที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ทั้งนี้ หากดูปริมาณการลงทุนในสินทรัพย์ของภาคธุรกิจประกันทั้งระบบมีทั้งสิ้นเพียงกว่า 540,000 ล้านบาท โดยเป็นการไปลงทุนในด้านพันธบัตรและตราสารหุ้นต่างๆ เป็นสำคัญ ทั้งที่น่าจะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นของไทยได้ ดังนั้น จึงอยาก ให้มีการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจประกัน สามารถนำเงินเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นได้ แม้ว่าตามกฎหมายจะกำหนด สัดส่วนไว้ก็ตาม แต่หากมองในตลาด หุ้นที่จะเข้าไปลงทุนมีหุ้นหลายตัวที่ดี และมีความแข็งแกร่งในธุรกิจก็น่าที่จะพิจารณาไปลงทุนบริษัทที่มีกิจการ ในตลาดหุ้นที่ดีได้
นายสมคิดกล่าวอีกว่า ต้องการให้ภาคธุรกิจประกันวินาศภัยควรเข้ามามีบทบาทและเป็นผู้ค้ำประกันความเสี่ยงของอุตสาหกรรมส่งออกของไทยให้มากขึ้น โดยเห็นว่าที่ผ่านมา ธุรกิจประกันวินาศภัยยังไม่เข้า ไปช่วยเหลือในด้านภาคการส่งออกเท่าที่ควร เช่น สินค้ากุ้งไทยที่ต้องการได้รับการคุ้มครองและประกันความเสี่ยงจากตลาดต่างประเทศในการค้ำประกัน แต่บริษัทประกันวินาศภัยของไทยยังไม่ยอมที่จะเข้าไปคุ้มครองตรงนี้มากนัก ดังนั้น หลังจากนี้ไปธุรกิจภาคประกัน จะต้องเข้ามาเสริมธุรกิจภาคการส่งออกเพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ หากทุกอย่างสามารถทำให้เกิดความเข้มแข็งทั้งระบบได้เป็นอย่างดี การช่วยเหลือภาครัฐก็จะให้อย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน
|
|
|
|
|