ในต่างประเทศนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่ใส่ใจกับการพัฒนาการศึกษาและมีความสามารถพื้นฐานคือรวยพอ
การจัดหาคอมพิวเตอร์ไว้ในโรงเรียนสำหรับนักเรียนดูจะเป็นเรื่องปกติ ในการส่งเสริมให้เด็กใช้คอมพิวเตอร์
เป็นอุปกรณ์ในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ต ส่วนที่ก้าวหน้าขึ้นไปกว่านั้นคือการใช้คอมพิวเตอร์ประกอบ
การเรียนการสอนในชั่วโมงเรียน โดยเด็กแต่ละคนจะมีคอมพิวเตอร์ประจำของตนเอง
ในบ้านเราเองก็ตื่นตัวกับเรื่องนี้มาก มีความพยายามจัดหาคอมพิวเตอร์ให้แต่ละโรงเรียน
โดยคิดว่าอย่างน้อยที่สุดก็ขอให้มีโรงเรียนละ 1 เครื่องเป็นอย่างน้อย จนมีเรื่องที่พูดกันว่าบางโรงเรียนไม่มีไฟฟ้าใช้
แต่ก็มีคอมพิวเตอร์ได้
โรงเรียนเอกชนหลายแห่งถึงกับโฆษณาว่าโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์ใช้สำหรับการเรียนการสอนใน
ห้องเรียน โปรแกรมเมอร์ทั้งหลายต่างก็พากันเขียน ซอฟต์แวร์ หรือที่เรียกกันว่า
CAI เพื่อใช้สำหรับการ เรียนรู้โดยตนเองของเด็กแต่ละวัย โดยเชื่อกันว่าระบบ
multimedia ของคอมพิวเตอร์ซึ่งให้ทั้งภาพและเสียง ประกอบ กับความฉลาดของโปรแกรมที่ทำให้คอม
พิวเตอร์สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ ทำให้หลายฝ่ายเชื่อกันว่าการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการศึกษาเป็นการปฏิวัติรูปแบบการเรียนรู้ของเด็ก
และเชื่อกันว่า ในอนาคตเด็กอาจจะไม่ต้องไปโรงเรียน โดยสามารถเรียนรู้ที่บ้านผ่านทางอินเตอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์
และอาจจะถึงขั้นที่ว่า บรรดาครูทั้งหลายอาจจะตกงานกัน
นี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการคาดการณ์ถึงอนาคตข้างหน้าที่พวกนักพยากรณ์อนาคตชอบพูดกัน
และหากยังจำกันได้ หนังสือประเภทนี้เคยขายดีเมื่ออดีตประมาณ 10 ปีก่อน
ทุกอย่างดูจะไปได้ดี จนประเทศที่จนกว่าออกจะอิจฉาว่า ทำอย่างไรเด็กในประเทศของเราจะมีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพอย่างเช่นเด็กต่างประเทศกันบ้าง
กระทั่งพ่อแม่ทั้งหลายในบ้านเราก็ต้องขวนขวายหาคอมพิวเตอร์และซื้อพวกซอฟต์แวร์การเรียนรู้ของเด็ก
เพราะทั้งลูกเรียกร้อง และกลัวว่าลูกจะไม่ทันยุคสมัยการเรียนรู้ด้วยตนเอง
แต่ถ้าเคยสังเกตดูจะพบว่า บรรดาโปรแกรม ทั้งหลายที่ว่ากันว่าดีนักดีหนาที่คุณพ่อคุณแม่กัดฟันซื้อมา
พอมาถึงมือคุณลูก ปรากฏว่าเด็กให้ความสนใจอยู่สักพักก็เลิก แล้วหันไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์
ทั้งหลายมากกว่าจะมาสนใจการเรียนรู้ด้วยตนเองจากสื่อการเรียน
ดูเหมือนโปรแกรมเมอร์และนักการศึกษาทั้งหลายก็ทราบและพยายามปรับปรุงสื่อเหล่านี้ให้เหมือนเกม
มากขึ้น และหวังว่าเด็กจะสนใจเล่นกับมันเหมือนที่เล่นเกมคอมพิวเตอร์ ผลที่ออกมาก็เหมือนเดิม
คือเด็กให้ความสนใจกับสื่อเหล่านี้ไม่มากนัก ทั้งที่สื่อเหล่านี้บางอันก็ได้รางวัลอันบ่งถึงคุณภาพ
แต่เราลืมนึกไปอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ตัดสินคือผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กที่ใช้สื่อเหล่านี้
เหตุการณ์ในบ้าน นั้นที่จริงแล้วสะท้อนให้เห็นความจริงที่เรามักจะมองข้ามกันไป
เราไม่เคยตั้งคำถามว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่รู้สึกว่าดีและเหมาะกับเด็กนั้น ที่จริงแล้วมันเป็นอย่างที่เราคิดหรือไม่
แต่นั่นเป็นเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็คือ
สิ่งที่ต่างชาติ (ซึ่งก็มักจะเป็นฝรั่ง) ว่าดีนั้นจะดีกับบ้านเราจริงหรือ
เมื่อเร็วๆ นี้มีงานวิจัยออกมาชิ้นหนึ่ง เพื่อดูว่าหลังจากที่โรงเรียนส่วนใหญ่
พยายามปรับตัวตามยุคดิจิตอลด้วยการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอนมากขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้เป็นตามที่คาดหวังหรือไม่
ที่จริงแล้วงานศึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในห้องเรียนมีออกมามากมาย
แต่ส่วนใหญ่ผลจะเป็นด้านบวกโดยไม่ได้ศึกษาเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้
ในขณะที่การศึกษาชิ้นนี้ทำเปรียบเทียบทั้งสองกลุ่ม
งานวิจัยในอิสราเอลชิ้นนี้ให้ผลลัพธ์ต่างจากความเชื่อเดิมๆ งานชิ้นนี้บอกกับเราว่าในการศึกษา
เปรียบเทียบระหว่างการใช้กับไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนคณิตศาสตร์ของเด็กเกรด
4 ผลคือในกลุ่มที่ครูไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นผลการเรียนคณิตศาสตร์ออกมาดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน
อาจจะมีการตั้งคำถามว่าเป็นเพราะทั้งครูและนักเรียนไม่ถนัดกับการใช้คอมพิวเตอร์หรือเปล่า
ผลจึงออกมาตรงกันข้ามกับที่เราคิดไว้
คำตอบคือไม่ โดยเฉลี่ยแล้ว คนกลุ่มนี้แต่ละ คนมีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวใช้อยู่แล้วที่บ้าน
แม้ว่าอาจจะใช้มากใช้น้อยต่างกันไปบ้าง ดังนั้นการไม่มีทักษะจึงไม่ใช่เหตุผลในการอธิบาย
นักวิจัยเชื่อว่าเหตุที่กลุ่มซึ่งใช้คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ผลการเรียนออกมาแย่กว่าเป็นเพราะ
แทนที่คอมพิวเตอร์จะทำให้เด็กได้รับความรู้ เด็ก กลับเสียสมาธิไปกับส่วนที่ตนเองสนใจในคอม
พิวเตอร์ รวมทั้งแตกเป็นกลุ่มเล็กๆ และพูดคุยกัน นั่นคือเด็กขาดความสนใจในชั้นเรียน
แม้ว่าผู้สร้าง โปรแกรมทั้งหลายจะเชื่อกันว่าคอมพิวเตอร์จะตอบสนองกับความต้องการของเด็กแต่ละคน
แต่ สุดท้ายแล้วมันถูกผลิตออกมาให้เหมาะกับเด็กทุกคนและขึ้นอยู่กับการที่เด็กจะใช้มันไปในทิศทางใด
ต่างกับครูที่ดี เพราะครูที่ดีจะสนใจ และปรับการตอบสนองให้เหมาะกับปัญหาของเด็กแต่ละคน
สิ่งที่น่าคิดจากงานวิจัยนี้คือ คอมพิวเตอร์ และโปรแกรมนั้นต่อให้ดีเพียงใดก็ตาม
ไม่สามารถ มาทดแทนครูดีๆ ที่ปรับการสอนให้เข้ากับเด็ก และอุปกรณ์โบราณประเภทกระดานดำกับชอล์กได้
มาถึงตรงนี้ผมก็อยากจะบอกว่าคนไทยในฐานะของผู้บริโภคทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
คุณ ผู้อ่านบางท่านอาจจะนึกในใจว่าทำไมเราถึงไม่ทราบว่าตัวเองรู้เรื่องนี้ดีอยู่
คำตอบง่ายๆ คือ ช่วง เย็นๆ ของวันธรรมดา เราจะเห็นบรรดาติวเตอร์หน้าอ่อนทั้งหลายสอนหนังสือเด็กนักเรียนเป็น
กลุ่มเล็กๆ ตามศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าและ หากลองถามดูก็จะพบว่า ทุกคนมีคอมพิวเตอร์ใช้อยู่แล้ว
แต่แปลกที่ว่าคนในระดับกระทรวงที่มีอำนาจในการวางนโยบาย รวมทั้งการจัดซื้อทั้งหลายดูจะมองไม่เห็นความจริงแง่นี้
สังเกตได้จากการเน้นเรื่องของแผนการสอนและกระบวน การ รวมทั้งเทคโนโลยีมากกว่าการพัฒนาครูและ
การส่งเสริมบรรยากาศให้ครูสามารถเป็นผู้รู้และผู้สอนของศิษย์ได้อย่างเต็มที่