นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ระบุผลกระทบด้านจิตวิทยาจากปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลปีนี้ภาพรวมตลาดอสังหาฯโตเพียง 5% ส่วนปีหน้าโตเท่ากัน ระบุเอ็น.ซี.ยอดขายและยอดรับรู้รายได้ลดตาม ภาวะตลาด คาดทั้งปีลด 10% จากเป้า ต้องเลื่อนเปิดโครงการไปปีหน้า 1 โครงการ ปีหน้าเปิดใหม่ 4 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท เล็งซื้อที่ดินย่านสุวรรณภูมิรับกระแสสนามบิน
นายสมเชาว์ ตัณฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ว่า ในปีนี้คาดว่าภาคอสังหาฯจะมีอัตราการเติบโตเพียง 5% จากที่ปี 2547 มีอัตราการเติบโตที่ 20% เนื่องจากปัจจัยลบ ในด้านต่าง ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัว ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภาพดังกล่าวส่งผลให้ผู้บริโภค มีความสามารถในการซื้อลดลง และเกิดความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ และรายได้ในอนาคตของตนเอง ทำให้ชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป ซึ่งในปีหน้าเชื่อว่า หากภาวะเศรษฐกิจยังคงเป็นเช่นนี้และไม่มีอะไรมากระทบจนทำให้เศรษฐกิจเลวร้ายลงไปก็เชื่อว่าอัตราการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะยังคงอยู่ที่ 5% เช่นกัน
สำหรับเอ็น.ซี.คาดว่าจะมียอดขายและรายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา คือตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ระดับ 3,000 ล้านบาท และและยอดรับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท โดยในส่วนของยอดรับรู้รายได้ของเอ็น.ซี.นั้นในช่วง 6 เดือนแรกของปีต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 20% แต่เชื่อว่าในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 น่าจะมียอดขายดีขึ้น และจะพยายามกระตุ้นยอดขาย โดยคาดว่าทั้งปีจะมียอดที่ต่ำกว่าเป้าหมายไม่น่าจะเกิน 10% ซึ่งจะส่งผลให้กำไรลดลงบ้าง แต่กำไรขั้นต้นในปีนี้อยู่ในระดับที่ดีกว่าปีที่แล้วโดยเฉลี่ย 32% จากที่ปีที่แล้วเฉลี่ย 30% เนื่องจากมีโครงการทาวน์เฮาส์เข้ามา ซึ่งการพัฒนาสินค้าประเภทนี้มีกำไรน้อยอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ปีนี้บริษัทชะลอเปิดโครงการใหม่ ไป 1 โครงการโดยเลื่อนไปพัฒนาในปีหน้าแทน จากเดิมตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ไว้ 5 โครงการ
ทั้งนี้ ในปีหน้าเอ็น.ซี. ตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ประมาณ 5-10% ตามภาวะของตลาดรวม และมีแผนพัฒนาโครงการประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยเน้นในปริมณฑลเป็นหลัก นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างหาที่ดินย่านสนามบินสุวรรณภูมิ โดยเน้นทำเลย่านอ่อนนุช และร่มเกล้า รวมทั้งจัดหาที่ดินบริเวณโครงข่ายรถไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าชั้นกลาง โดยตั้งงบประมาณซื้อที่ดินในปีหน้าจำนวน 1,000 ล้านบาท สำหรับเม็ดเงินลงทุนนั้นบริษัทจะนำมาจากกระแสเงินสดและเงินกู้บางส่วน
ส่วนในบริเวณลำลูกกา-รังสิต ซึ่งเป็นทำเลหลักในการพัฒนาของบริษัทนั้น ปัจจุบันมีที่ดินสะสมเหลืออยู่ประมาณ 800 ไร่ ซึ่งจะสามารถพัฒนาไปได้อีก 4-5 ปี ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย 12 โครงการ และมีสินค้ารอขายอยู่ในมือจำนวน 1,000 ยูนิต มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท โดยสินค้าจำนวนดังกล่าวจะสามารถซัปพอร์ตการขายไปได้อีก 2 ปี
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการบ้านฟ้ากรีน- พาร์ค รังสิต คลอง 3 บนเนื้อที่ 58 ไร่ จำนวน 321 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท แบ่งการพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว 181 ยูนิต และบ้านแฝด 140 ยูนิต มีแบบบ้าน 6 แบบ สไตล์บ้านสวน สำหรับโครงการที่เปิดไปในช่วงปีนี้ ได้แก่ โครงการ พฤกษ์วารี ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 70%, โครงการ บ้านฟ้าปิยรมย์ เรือนพฤกษ์ มียอดขายแล้ว 40% และโครงการบ้านฟ้าปิยรมย์ เลค แอนด์ พาร์ค มียอดขายแล้ว 20%
|