|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บริษัทรับสร้างบ้านกระอักรับเหมารายย่อยแย่งงานรับสร้างบ้าน หลังงานก่อสร้างโครงการจัดสรรขาดมือ เหตุจัดสรรชะลอเปิดโครงการใหม่ เศรษฐกิจซบ ราคาวัสดุก่อสร้างขึ้นราคา ส่งผลรับเหมาทิ้งงาน บ้านขาดคุณภาพ เผยประชาชนร้องเรียนเพียบ
ปัจจุบัน ธุรกิจรับสร้างบ้านมีการแข่งขันอย่าง รุนแรงขึ้น จากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงนับจากปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นหยุดนิ่ง แต่ก็มีภาวการณ์เติบโตแบบถดถอยหรือในอัตราที่ลดลง จากสาเหตุภาวะเศรษฐกิจผันผวนจากปัจจัยลบทั้ง ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคมีความสามารถในการจับจ่ายน้อยลง อีกทั้งเริ่มไม่มั่นใจในเศรษฐกิจและรายได้ในอนาคต ในที่สุดก็ชะลอการตัดสินใจซื้อ ผู้ประกอบการหลายรายหยุดเปิดโครงการใหม่ เพื่อระบายสินค้าเก่า (สต๊อก) ให้หมด ก่อนที่จะพัฒนาเพิ่ม หลังจากยอดขายไม่คืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น อีกทั้งไม่มั่นใจในภาวะตลาดและเศรษฐกิจในอนาคต
ผลลัพธ์ก็คือ เมื่อผู้ประกอบการหยุดหรือชะลอการเปิดโครงการใหม่ ย่อมส่งผลต่อผู้รับเหมาที่รับงานก่อสร้างโครงการ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้รับเหมารายย่อยที่รับงานต่อจากบริษัทรับเหมารายใหญ่อีกทอดหนึ่ง เมื่องานก่อสร้างโครงการจัดสรรเริ่มขาดมือ ผู้รับเหมากลุ่มดังกล่าวเริ่มแห่ออกมารับงานรายย่อย ซึ่งหนึ่งในการรับงานนั้นเป็นงานรับสร้างบ้านบนที่ดินของลูกค้า
นายวิบูลย์ จันทรดิลกรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหสุธา จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะที่ผู้รับเหมา ก่อสร้างงานโครงการจัดสรร เริ่มแห่ออกมารับงานสร้างบ้าน หลังจากที่เกิดภาวการณ์ชะลอเปิดโครงการ ใหม่หรือหยุดก่อสร้างเฟสต่อเนื่องของผู้ประกอบการ นั้น ส่งผลให้ผู้รับเหมาเหล่านั้นเข้ามาแย่งแชร์ตลาดรับสร้างบ้านจากบริษัทรับสร้างบ้านเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทรับสร้างบ้านหลายรายมียอดรับสร้างบ้าน ที่ลดลง
นอกจากนี้ การที่ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างสูงขึ้นตาม เมื่อมีต้นทุนที่สูงขึ้นผู้รับเหมาแบกรับภาระไม่ไหวทำให้เกิดการทิ้งงานเกิดขึ้น รวมถึงการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน จากการลดสเปกวัสดุเพื่อทำให้ราคาบ้านถูกลง สาเหตุดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา โดยที่ผ่านมามีประชาชนร้องเรียนไปยังสมาคมรับสร้างบ้านจำนวนมาก
"ปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดจากผู้รับเหมาที่อยู่นอกสมาคมฯ ซึ่งเมื่อเข้าไปรับงานก่อสร้างบ้านของ ประชาชนเหล่านั้นแล้ว ส่วนใหญ่ไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะเป็นการก่อสร้างไปแล้ว บางครั้งหาก เปลี่ยนแปลงก็จะกระทบโครงสร้างหลัก หลังไหนที่พอแก้ไขได้เราก็ช่วยแก้ให้ แต่ก็ยาก จึงอยากเตือนให้ประชาชนเลือกบริษัทรับสร้างบ้านที่ไว้ใจได้ อยู่ในธุรกิจมายาวนาน ไม่มีประวัติทิ้งงานก็จะช่วยได้ไปส่วนหนึ่ง"นายวิบูลย์ กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการตัดราคากันของบริษัทรับสร้าง บ้านนั้น นายวิบูลย์ กล่าวว่า น่าจะเกิดจากบริษัทรับสร้างบ้านที่ใช้ผู้รับเหมาช่วง หรือบริษัทที่มีตัวแทน ขาย ซึ่งผู้รับเหมาเหล่านั้นรับงานจากลูกค้าเองโดยไม่ผ่านบริษัท และตัดราคาของบริษัทตัวเอง ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นบริษัทรับสร้างบ้านควรเลือกผู้รับเหมาช่วงที่ไว้ใจได้ แต่ในภาวะที่ขาดแคลนผู้รับเหมาย่อมเกิดปัญหาต่างๆตามมาเสมอ สำหรับเรื่องคุณภาพการก่อสร้าง ที่ต้องอาศัยช่างฝีมือ นั้นไม่สามารถควบคุมได้ เพราะไม่สามารถกำหนดเหมือนสเปกวัสดุแก่ผู้รับเหมาได้ เพราะคุณภาพฝีมือแรงงานนั้น เกิดจากความชำนาญของช่างและแรงงาน เพราะไทยขาดแคลนช่างฝีมือ เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่มาจากเกษตรกร ซึ่งปัญหาดังกล่าว เกิดขึ้นในหลายบริษัทที่ต้องการขยายการเติบโต เพราะมีแรงงานแต่ไม่มีช่างฝีมือ เมื่อขยายงานแล้วการก่อสร้างไม่ได้ตามสเปกก็เกิดปัญหาตามมา
นายวิบูลย์ กล่าวว่า สำหรับบริษัท สหสุธา ในปีนี้คาดว่าจะมีงานประมาณ 18-19 หลัง ราคา ตั้งแต่ 3-8 ล้านบาท ซึ่งจำนวนดังกล่าวไม่ได้เติบโตจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถรับงานได้มาก เพราะขาดกำลังคนและแรงงาน ส่วนสาเหตุที่ไม่สามารถเพิ่มขนาดงานได้ดังกล่าว เนื่องจากขาดช่างฝีมือแรงงานเช่นเดียวกับหลายๆ บริษัท อีกทั้งบริษัทไม่ได้ใช้ผู้รับเหมา ช่วง เนื่องจากต้องการ ควบคุมงานให้มีคุณภาพ ตรงความต้องการของลูกค้า
ทั้งนี้ การขาดแคลนดังกล่าว อาจ สามารถทดแทนได้ด้วยระบบเทคโนโลยีการก่อสร้างเข้ามาใช้ได้ แต่สำหรับบริษัทแล้วนับจากก่อตั้งมากว่า 17 ปี บริษัทได้ใช้นโยบายเดิมมาตลอด คือการก่ออิฐฉาบปูน เพราะคนไทยกว่า 80% สร้างบ้านแล้วต้องมีการต่อเติม เมื่อนำ ระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้แล้วต่อเติมได้ยาก การใช้ระบบก่ออิฐฉาบปูน ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนแบบได้ตามต้องการ หากไม่กระทบต่อโครงสร้าง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่แล้วตอนตกลงทำสัญญาอ่านแบบไม่ออก เมื่อเห็นการก่อสร้างคืบหน้าเป็นรูปเป็นร่างย่อมเกิดความคิดต่อเติมเปลี่ยนแปลง หรือคิดการ ตกแต่งตามมา ดังนั้น หากบริษัทสามารถทำตาม ความต้องการของลูกค้าได้ย่อมเกิดความประทับใจ
อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้าที่จะมีอัตราการเติบโตอย่างน้อยปีละ 20% ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีงานรับก่อสร้างหลายชนิด ทั้งโรงงาน, อพาร์ต เมนต์ และบ้านขนาดเล็กเนื่องจากที่ดินแปลงเล็ก ดังนั้น จึงเกิดแนวคิดที่จะสร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่ เพื่อรับงานสร้างบ้านโดยเฉพาะ
|
|
|
|
|