|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.สินเอเซีย ยื่น ก.ล.ต. ขอไลเซนส์อนุพันธ์ ขณะที่โกลดืแมนแซคส์ โผล่ถือหุ้นใหญ่ บง.สินเอเซีย ชี้ปัญหาตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์ ค่าคอมมิชชันแพง ทำให้นักลงทุนต่างชาติหด ด้านทิสโก้ ได้ ดอยช์แบงก์หนุนฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่ม พร้อมตั้งทีมแพลทินัมจับกลุ่ม ลูกค้าวงเงิน 20 ล้านบาทขึ้น ช่วงแรกตั้งเป้า 35-50 ราย
นายวิบูลย์ เพิ่มอารยวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) สินเอเซีย จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ยื่นขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตธุรกิจ การซื้อขายล่วงหน้าจะมีอัตราการเติบโตที่ดี
อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเติบโตของธุรกิจซื้อขายล่วงหน้าจะต้องใช้เวลาอีกระยะเพื่อสร้างความ เข้าใจให้กับนักลงทุนในประเทศ เนื่องจากมีความซับซ้อนประกอบกับความไม่เข้าใจทำให้นักลงทุนไทยให้ความสนใจน้อย เช่น ในช่วง ที่ผ่านมามี บล.บางแห่งเสนอขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นสินค้าที่ดีมาก แต่มี นักลงทุนที่สนใจลงทุนไม่มากเพียง 800 ล้านบาทเท่านั้น
สำหรับอุปสรรคที่สำคัญอย่าง ยิ่งของตลาดทุนไทยทั้งในส่วนของตลาดหุ้น และตลาดอนุพันธ์ คือ เรื่องค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีอัตราสูงกว่าในหลาย ประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่แม้ว่าจะสนใจเข้ามาลงทุน ในไทย อาจจะต้องมีการซื้อผ่านกระดานต่างประเทศหรือผ่านกองทุนในต่างประเทศเพื่อจะได้เป็น การลดต้นทุนของการลงทุน
โดยอัตราธรรมเนียมในการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 0.25% ซึ่งหากซื้อขาย 1 ล้านบาทจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 2,500 บาท เมื่อเทียบกับการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ 1 สัญญา 5 แสนบาทจะต้องเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท โดยในเรื่อง ดังกล่าวอาจจะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนรายย่อยหันมาให้ความสำคัญ และเข้ามาศึกษาเพื่อลงทุนใน ตลาด อนุพันธ์มากขึ้นก็ได้ โดยเชื่อว่าในช่วงแรกที่มีการซื้อขายนักลงทุนรายย่อยจะเป็นกลุ่มหลักในตลาดอนุพันธ์ แต่ทั้งนี้สุดท้ายนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศจะเข้ามาเป็นกลุ่มหลักเหมือนในทุกๆประเทศที่เปิดให้มีการซื้อขาย
สำหรับในช่วงแรกบริษัทหลักทรัพย์ที่จะมีการซื้อขายน่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่มีพันธมิตรต่างชาติ ซึ่งบริษัทหลัก-ทรัพย์หลายแห่งที่ยังไม่มีพันธมิตรก็คงจะต้องหาพันธมิตรเพื่อทำธุรกิจต่อไป โดยพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจดังกล่าว เช่น GOLDMAN SACHS & CO หรือ MORGAN STANLEY & CO INTERNATIONAL LIMITE เป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีมาร์เกตแชร์ที่ระดับ 1.3% แต่ในอนาคตจะมีการเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าสถาบันและลูกค้าต่างประเทศมากขึ้น เพราะปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นลูกค้ารายย่อย
สำหรับสัดส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทเงินทุน สินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบล. สินเอเซีย จำกัด ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. อันดับ 1. บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 122.89% อันดับ 2. GOLDMAN SACHS & CO ถือหุ้น 10.89% อันดับ 3. SOMERS (U.K.) LIMITED ถือหุ้น 8.62% อันดับ 4. MORGAN STANLEY & CO INTERNATIONAL LIMITE ถือหุ้น 7.67% อันดับ 5. นายจรินทร์ พงศ์ไพโรจน์ ถือหุ้น 7.04%
นายไพบูลย์ นลินทรางกูล รองกรรมการผู้จัดการ บล. ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทคาดส่วนทางการตลาด (มาร์เกตแชร์) ปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 3% ลดลงจากเดิมที่คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 3.5% เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นที่ไม่ค่อยดี ทำให้มูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 47 และจากที่บริษัทไม่ได้มีการเน้นลูกค้าต่างประเทศ
ทั้งนี้ในปี 49 บริษัทมีแผนที่จะรุกกลุ่มลูกค้าสถาบันต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันที่ 25% และลูกค้าระดับสูง (High Net work) เพื่อลดความเสี่ยงจากความ ผันผวนหลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ซึ่งจากการที่บริษัทร่วมมือกับดอยชแบงก์จะทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้โดยเฉพาะในปี 2549
"ความกังวลของนักลงทุนต่างชาติเรื่องภาวะเงินเฟ้อทำให้ชะลอการลงทุนบ้าง แต่หลังแก้ไขดุลบัญชีเดินสะพัดได้ก็ทำให้ความรู้สึกดีขึ้น และภาวะเงินเฟ้อนั้นมองว่าเป็นปัญหาชั่วคราวเท่านั้น" นายไพบูลย์กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการ ตั้งทีมงานแพลทินัม (Platinum) ขึ้นมาใหม่จำนวน 6 ราย เพื่อดูแลและให้คำปรึกษาด้านการลงทุนในการซื้อขายหุ้น โดยลูกค้าระดับสูงดังกล่าวมีวงเงินจำนวน 20 ล้านบาท และตั้งเป้าที่จะมีลูกค้าจำนวน 30-50 รายซึ่งจะทำให้สัดส่วนลูกค้าบริษัทมีความสมดุลมากขึ้น
บริษัทคาดว่าจะมีกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้านั้น จะเติบโตประมาณ 13% จากการที่หุ้น กลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่จะช่วยดันกำไรสุทธิให้เติบโต ส่วนปัจจัยลบที่เข้ามากระทบภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ทั้งเรื่องราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยมองว่าเป็น ปัจจัยที่ได้รับผลกระทบเช่นกันหมดและก็จะคลี่คลายได้
|
|
|
|
|