|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"หม่อมอุ๋ย" ระบุดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยปีนี้เกิน 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐแน่ เพราะ 9 เดือนที่ผ่านมาขาดดุล ทะลุ 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จับตาปริมาณสินค้านำเข้า และรัฐ เพิ่มวงเงินลงทุนโครงการ "เมกะโปรเจกต์" มีผลดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลเพิ่มหรือไม่
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยทั้งปี 2548 ว่าจะขาดดุล 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากหากรวมดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาจะพบว่าขาดดุลไปแล้วถึง 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นหากจะให้ได้ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่ธนาคารโลกระบุ ไทยก็จะต้องทำเกินดุลถึง 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 3 เดือนที่เหลือของ ปี 2548 นี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก
นอกจากนี้ยังกล่าวถึง กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้การขยายวงเงินที่ใช้ลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของรัฐบาล (เมกะโปรเจกต์) จากเดิม 1.7 ล้านล้านบาท เป็น 1.8 ล้านล้านบาท นั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาปัจจัยด้านอื่นประกอบด้วย เช่น สัดส่วน วัตถุดิบที่ใช้ในการลงทุนว่ามีการนำเข้าจากต่างประเทศมากน้อยเพียงใด
"ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าการเพิ่มวงเงินลงทุนอีก 1 แสนล้านบาท จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้นไปอีกหรือไม่ คงต้องดูปริมาณนำเข้าสินค้า (อิมพอร์ตคอนเทนต์) ด้วย ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นรายละเอียดดังกล่าว" ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว
ส่วนการที่กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปโดยเฉลี่ยในปี 2548 จะไม่ถึง 4.5% นั้น ธปท.เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อยังน่าจะอยู่ 4.5-5% ซึ่งไม่ใช้ตัวเลขที่สูงเกินไป เนื่องจากหากคำนวณแล้ว 4 เดือนสุดท้ายของปีน่าจะอยู่ประมาณเดือนละ 6% กว่า เมื่อไปคำนวณกับเงิน เฟ้อที่ผ่านมาน่าจะเกินระดับ 4.5% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่เป็นการประเมินเกินความเป็นจริงแต่อย่างไร
ทั้งนี้ เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2549 จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีไปจนถึงปีปลายปีในระดับใกล้เคียงกัน แต่ที่เห็นว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงกลางปีและปลายปี 2549 ลดน้อยลงนั้นไม่ได้หมายความ ว่าการขยายตัวลดลง แต่มาจากการที่ฐานการคำนวณช่วงกลางปีและปลายปีนี้ค่อนข้างสูงจึงทำให้ตัวเลขในปีหน้าอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม มีโอกาสสูงกว่าตัวเลขในเดือนตุลาคมที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศที่ระดับ 6.2 % ได้อีก ส่วนจะขึ้นไปเท่าไรนั้นคาดเดาได้ยาก ซึ่ง คาดว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นมากที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 4 และจะสูงกว่า 6% ดังนั้น ในช่วงก่อนหน้านี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)จึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ติดต่อกัน 2 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นไปอีก และเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะทยอยปรับลดลงในไตรมาสแรกของปี 2549 โดยจะลดลงอย่างชัดเจนในไตรมาส 2
สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยของเดือนกันยายนปีนี้ ดัชนีการส่งออกขยายตัวได้ 23.8% ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 25.5% ขณะที่ การนำเข้าขยายตัวเพียง 19.9% เพราะความต้องการซื้อวัตถุดิบในประเทศเริ่มลดลง ซึ่งเป็น การลดลงของการนำเข้าสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 818.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการเกินดุลครั้งแรกนักจากต้นปีนี้ ส่งผลให้ดุลบริการเกินดุล 58.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 876.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ หากพิจารณาเป็นรายไตรมาส จะพบว่าดุลการค้าของไตรมาสที่ 3 เกินดุล 203.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1,152.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และดุลการชำระเงินเกินดุล 1,764.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ 9 เดือนแรกของปีดุลการค้าขาดดุล 8,260.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 5,056.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
|
|
|
|
|