"ประเสริฐ" ลั่นพร้อมเข้าซื้อหุ้นทีพีไอจากกลุ่มพันธมิตรหลังพ้นไซเลนต์พีเรียด 2 ปี หวังเข้ายึดทีพีไอแบบเบ็ดเสร็จ คาดกำไรของทีพีไอที่จะเข้ามาในปตท.ต่ำกว่า 5% ของกำไรรวม ขณะที่ "ประชัย" หวั่น TPI ถูกชำแหละชิ้นคล้ายการบินไทย สุดท้าย TPI เป็นเศษกระดาษ เตรียมยื่นอุทธรณ์ศาลฎีกาสัปดาห์หน้า เพื่อรักษาสิทธิของคณะกรรมการบริษัทฯ
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวถึงความคืบหน้าการเข้าซื้อหุ้น บมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัล ไทย (TPI) ว่า การเข้าถือหุ้นของ บมจ.ปตท. ในทีพีไอจะเป็นการลงทุนในระยะยาวเนื่องจากจะส่ง ผลดีต่อทั้ง 2 บริษัท โดยพันธมิตร ที่ร่วมซื้อหุ้น ประกอบด้วย กองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนรวมวายุภักษ์ และธนาคารออมสิน ในสัดส่วนรายละ 10% ซึ่งจะถือลงทุนประมาณ 2 ปีตามข้อตกลง
ทั้งนี้ หากเมื่อถึงเวลานั้นพันธมิตรรายใดจะขายหุ้นออกน่าจะหารือกับ ปตท.ก่อน ส่วนจะซื้อหุ้นในสัดส่วนนั้นหรือไม่คงต้องรอให้ถึงเวลานั้นก่อน เพราะจะต้องคุย ถึงรายละเอียดอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ปตท.ถือลงทุนะระยะยาว
ในส่วนของการแต่งตั้งบุคคล เข้าเป็นคณะกรรมการบริษัทคงต้อง มีการหารือกับพันธมิตรอีกครั้งว่าจะมีการกำหนดสัดส่วนการเข้าเป็นคณะกรรมการของบริษัทเท่าใด รวมสัดส่วนระหว่างพันธมิตร แต่จะผสมระหว่างคณะกรรมการเก่าและกรรมการใหม่
นอกจากนี้ บริษัทจะรีบหารือกับพันธมิตรและผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ เพื่อกำหนดทิศทางในการบริหารงานในขั้นต่อไป รวมถึงจะมีการกำหนดนัดประชุมผู้ถือหุ้นภายหลังที่ทีพีไอออกจากแผนฟื้นฟูฯ และจะมีการเรียก ประชุม ผู้ถือหุ้นเพื่อที่จะได้จัดสรร คณะกรรมการ ซึ่งศาลฯ ได้ให้ข้อแนะนำว่าการเปลี่ยน แปลงคณะกรรมการ จะต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งคณะกรรมการชุดใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้น จะมีทั้งคณะกรรมการชุดเก่า และใหม่ และการดำเนินการทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังต้องหารือช่วงเวลาที่จะมีการนำเงินเข้าไปซื้อหุ้น โดยตามหลักการแล้วการใส่เงินลงทุน ควรจะเป็นทั้งในส่วนของนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาที่จะได้หุ้นที่ลงทุน ด้วย โดยคงไม่ได้มีความสำคัญว่าใครจะเป็นคนใส่เงินลงทุนก่อนกัน โดยในเรื่องดังกล่าวจะมีการหารือกันในช่วงสัปดาห์หน้า โดยจะต้องมีการจ่ายเงิน ก่อนวันที่ 13 ธ.ค.นี้
"การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่จ่ายเงินเพิ่มทุนเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างความมั่นใจเร็วเท่านั้น ซึ่งตามขั้นตอนแล้วผู้ถือหุ้นรายย่อยจะเพิ่มทุนกลาง ธันวาคม นี้ แต่หากผู้ถือหุ้นรายใหญ่เข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนก่อน จะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่รายย่อย" นายประเสริฐกล่าว
ส่วนผลกำไรของทีพีไอ ที่จะเข้ามาลงงบของ บริษัทปตท. เมื่อเทียบกับผลกำไรสุทธิของ ปตท. คง อยู่ระดับที่ต่ำกว่า 5% ของกำไรสุทธิรวม ซึ่งจะเริ่มสามารถรับรู้ได้ในช่วงปี 2549
คาดว่ารายได้ปตท.ปีนี้ จะไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาท และจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรสุทธิประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะถึง 1 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปี ปตท.มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 4.2 หมื่นล้านบาท
พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ และนายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ในฐานะผู้บริหารแผน บมจ. อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่ทีพีไอได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 7,848,911,211 บาท เป็น 19,500,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 11,651,088,789 หุ้น (พาร์ 1 บาท) เพื่อจัดสรรส่วนทุนใหม่ให้แก่ผู้ร่วมลงทุน พร้อมกับหุ้นสามัญเดิมที่เจ้าหนี้ตามแผนฯ ได้รับมาจากการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูฯ เพื่อนำเงินที่ได้รับจากการขายส่วนทุนใหม่และส่วนทุนเดิมดังกล่าวไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้
นอกจากนี้ บริษัทได้ทำสัญญาขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน(ส่วนของทุนใหม่) 3,900,000,000 หุ้น ให้แก่ บล.เอเซีย พลัส บล. ฟินันซ่า บล. ธนชาต และบล. ทรีนีตี้ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ซื้อเพื่อกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมและกระจายต่อให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ยกเว้นผู้ถือหุ้นเดิมที่ถือหุ้นในส่วนที่เป็นส่วนทุนเดิม
บริษัทจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นของบริษัท ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 เพื่อพิจารณา รายชื่อผู้ถือหุ้นของที่มีสิทธิจองซื้อหุ้น ซึ่งการพิจารณา รายชื่อดังกล่าวจะยกเว้นผู้ถือหุ้นเดิมที่ถือหุ้นในส่วนที่เป็นส่วนทุนเดิม
ทั้งนี้ เป็นสิทธิของบริษัทที่จะพิจารณารายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นกับผู้ซื้อเพื่อกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม และยกเว้นผู้ถือหุ้นเดิมที่ถือหุ้นในส่วนที่เป็นส่วนทุนเดิมที่จะไม่มีสิทธิในการจองซื้อหุ้นกับผู้ซื้อเพื่อกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นกับผู้ซื้อเพื่อกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมดังกล่าวมีสิทธิจองซื้อหุ้นทีพีไอในอัตราส่วน หุ้นเดิม 1 หุ้น มีสิทธิจองซื้อได้ 2 หุ้น และให้จองซื้อเกินสิทธิไปพร้อมกันได้อีก 1 หุ้น โดยกำหนดราคาจองซื้อหุ้นละ 3.30 บาทและกำหนดวันจองซื้อในวันที่ 30 พฤศจิกายนจนถึง 7 ธันวาคม 2548
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีพีไอ กล่าวถึงกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ ผู้บริหารแผนฯสามารถเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อตั้งกรรมการใหม่ หลังจากบริษัทออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการว่า ตนในฐานะผู้บริหาร ลูกหนี้ คงต้องยอมรับคำสั่งศาลฯ แต่เกิดความกังวลใจว่า ทำให้ผู้บริหารแผนฯจะก้าวก่ายอำนาจการบริหารของคณะกรรมการบริษัทได้ เพราะการการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของกรรมการ ไม่ใช่ผู้บริหารแผนฯ ซึ่งถือว่าขัดกับกฎหมาย ดังนั้น ในสัปดาห์หน้าตนจะยื่นคำอุทธรณ์ ต่อศาลฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลดังกล่าว เพื่อรักษาสิทธิของคณะกรรมการบริษัทฯ
สืบเนื่องจาก กระทรวงการคลังในฐานะผู้บริหารแผนฯตัดสินใจขายหุ้น TPI ให้บมจ.ปตท. กบข. กองทุนวายุภักษ์ ออมสิน ซึ่งคลังดูแลอยู่คิดเป็นสัดส่วน 60%ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ภายหลังการขายหุ้นให้กลุ่มพันธมิตรแล้ว คลังจะกลายเป็นผู้ถือหุ้น เท่ากับ TPI เปลี่ยนจากบริษัทเอกชนกลายเป็นรัฐวิสาหกิจ ถือว่ายึดบริษัทเอกชนมาเป็นของรัฐ ซึ่งไม่มีประเทศเสรีใดทำกันยกเว้นประเทศคอมมิวนิสต์เท่านั้น แต่หากรัฐจะทำ ก็ควรทำด้วยความเป็นธรรม และต้องออกพ.ร.บ.การยึดกิจการเอกชนมาเป็นของรัฐ หรือกฎหมายเวนคืน รวมทั้งต้องซื้อหุ้นในราคาตลาด ไม่ใช่ซื้อในราคา 3.30 บาท/หุ้น แต่ถ้ารัฐจะทำโดยไม่สนใจว่าจะขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ทำไป ถือว่าขัดกับหลักธรรมาภิบาลที่ดี และเอาเปรียบประชาชน
"ทางตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ในฐานะผู้ถือหุ้นเดิมจะใช้สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน TPI ตามสิทธิที่ผู้บริหารแผนฯจะเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นสามัญใหม่ในราคา 3.30 บาท ครบเต็มจำนวนอย่างแน่นอน"
ส่วนการจัดหาแหล่งเงิน 2.7 พันล้านเหรียญฯเพื่อนำมาชำระหนี้วางไว้ที่ศาลเพื่อไม่ให้คลังขายหุ้น TPIนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ แต่เชื่อว่าผู้บริหารแผนฯคงจะขัดขวาง เพราะTPI เป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง และมีเงินสดเหลืออยู่ 2 หมื่นล้านบาท เป็นที่พึงปรารถนาของนักลงทุนทั่วไป การขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ปตท.ใส่เงินซื้อหุ้นTPI เพียง 2 หมื่นล้านบาทมาชำระหนี้ และนำเงินของTPIที่มีไปใช้ เท่ากับว่าปตท.แทบไม่ต้องใช้เงินเลย ถือว่าเป็นการจับเสือมือเปล่า
"ผมห่วงนิดเดียวว่า เขาจะทำกับ TPI เหมือนกับการบินไทย ถูกชำแหละเป็นชิ้น โดยให้พนักงาน ลาออก และเซ็นรับเงินเดือนจากบริษัทย่อย (เอาต์ซอสซิง) เพื่อหวังกำไร ทำให้หุ้น TPI ในอนาคต กลายเป็นเศษกระดาษ หากผมเป็นเจ้าของ TPI ก็ต้องการทำให้เป็นแบบครบวงจร ไม่ต้องการแยก นอกจากการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแล้ว เรายังจะต่อสู้ยังมีตลอดเวลา ดังนั้น TPI ยังไม่ปิดฉาก"
|