|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
"เวิลด์แบงก์" ชี้ พิษน้ำมันฉุดเศรษฐกิจไทยปีนี้หด 1% ประกาศปรับลดอัตราการเติบโตเศรษฐกิจเหลือ 4.2% จากเดิมประเมินไว้ 5.2% คาดปีหน้าเศรษฐกิจขยายตัว 5% การลงทุนภาคเอกชนหนุนเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง
นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยรายงานการสำรวจภาวะเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกประจำปี 2548 ครั้งที่ 2 ซึ่งได้เปิดเผยรายงานพร้อมกับธนาคารโลกที่ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ธนาคาร โลกประเมินการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ของไทยในปี 2548 จะขยายตัว 4.2% ลดลงจากที่เคยประมาณการไว้ 5.2% ในเดือน เมษายน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นถึง 40% และผลกระทบจากภัยแล้ง ภัยสึนามิ ซึ่งสูงกว่าที่คาด การณ์ไว้ ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี 2548 สูงขึ้นเป็น 4.5%
ทั้งนี้ การที่ภาครัฐได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมัน ทำให้การบริโภคน้ำมันเบนซินในช่วง 8 เดือนแรกของ ปีลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนราคา น้ำมันดีเซลมีการใช้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง อย่างไร ก็ตาม ธนาคารโลกมองว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 น่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากการส่งออกเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 โดยมีอัตราการขยายตัว 15% ขณะที่การนำเข้าเริ่มชะลอลง
ส่วนในปี 2549 ธนาคารโลกมองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 5% เพราะตัวเลขการลงทุนของภาค เอกชนน่าจะขยายตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 11% เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่ขยายตัวประมาณ 9% ช่องว่างการนำเข้าและส่งออกแคบลง ซึ่งการลงทุนภาคเอกชนจะเป็นตัวหลักในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้ขับเคลื่อนในปีหน้า แต่จะต้องเพิ่มการลงทุน โดยเฉพาะผู้ประกอบการภาคส่งออกควรเร่งการลงทุนเพื่อรองรับการผลิตที่จะเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยคาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกในปีหน้าจะอยู่ที่ 56 ดอลลาร์ สหรัฐต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 4.5% ขณะที่ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศสูงขึ้นอีก 14%
ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.5-4% และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำประมาณ 4-5% โดยเชื่อว่าการลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาค รัฐ (เมกะโปรเจกต์)จะผลักดันให้ตัวเลขการนำเข้าเพิ่ม ขึ้นเฉลี่ย 1.5% ของจีดีพีต่อปีในช่วงเวลาที่ก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ 5 ปี ซึ่งจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2549 ขาดดุลเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1.7% ของจีดีพี หรือ มีมูลค่าประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ 1.5% ของจีดีพีในปีนี้ หรือเป็นมูลค่าประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ(เอฟดีไอ) ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 เงินลงทุนโดยตรงสูงถึง 40%
การสำรวจความเห็นของนักธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่จำนวน 325 บริษัทของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) พบว่าไทยติดอันดับประเทศน่าลงทุนในอันดับ 3 ของ เอเชีย รองจากจีน และอินเดีย ส่วนเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในปี 2548 นี้ธนาคารโลกประเมินว่าจะขยายตัว 6.2% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 7.2% นางสาวกิริฎากล่าว
สำหรับจีนที่เป็นประเทศน่าลงทุนเป็นอันดับ 1 นั้น ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของจีนในปีนี้น่าจะขยายตัวอยู่ที่ 9.3% และชะลอลงเหลือ 8.7% ในปีหน้า ซึ่งการที่เศรษฐกิจโดยรวมของจีนในช่วงผ่านมาที่เติบโตได้ดีและสภาพการดำเนินการทาง การเงินจะช่วยส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้ม ลดลง ส่วนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลง เช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี ทางการควรหามาตรการเพื่อลดความร้อนแรงของภาคการลงทุนที่ขยายตัวอย่างมากในขณะนี้
ด้านนายโฮมิ คาราส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจในปี 2549 ของประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกนี้ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก โดยทางธนาคาร โลกเห็นว่าจะต้องมีการติดตามโรคไข้หวัดนกอย่างใกล้ชิด โดยจะต้องประสานความร่วมมือกัน และเร่งพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกเพื่อไม่ให้กลายพันธุ์ติดต่อจากคนสู่คน
"ประเทศในภูมิภาคจะต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ในภูมิภาค รวมทั้งต้องติดตามผลการประชุมองค์การ การค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ที่ประเทศฮ่องกงที่จะมีขึ้น ในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งคาดว่าประเทศในเอเชียจะได้รับประโยชน์ประมาณ 50% จากการเปิดเขตการค้าเสรี โดยเฉพาะการค้าข้าว เป็นต้น" นายโฮมิกล่าว
|
|
 |
|
|