ปตท.สผ.เพิ่มงบลงทุนปี 2549 เป็น 53,000-54,000 ล้านบาท หลังเห็นภาพชัดเจนการลงทุน เตรียมเดินเครื่องที่โอมาน ส่วนโครงการอาทิตย์ในอ่าวไทย คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2550 เผยมีปริมาณน้ำมันสำรองปี 49 เป็น 1,000 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน พร้อมคาดไตรมาส 4/48 รายได้ใกล้เคียงไตรมาส 3 ยังไม่มี แผนแตกพาร์ขณะนี้ ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติตลอด ปี 2549 จะขยับขึ้นเล็กน้อย แต่ช่วง 6 เดือนข้างหน้า จะปรับลดลงตามราคาน้ำมันที่ลดลงในขณะนี้
นายมารุต มฤคทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการเพิ่มเงินลงทุนในปี 2549 เป็น 53,000-54,000 ล้านบาท จากเดิมประมาณ 50,000-52,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีแผนการดำเนินงานในปีหน้าอย่างชัดเจนว่าจะขยายในส่วนใดบ้าง เพราะก่อนหน้านั้น บริษัทได้มีการประมาณการเงินลงทุนล่วงหน้าไว้ 5 ปี
สำหรับเงินลงทุนดังกล่าว แบ่งเป็น 40,000 ล้าน บาท ในการเพิ่มกำลังการผลิต โดย 57% จะนำไปใช้พัฒนาโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในประเทศแหล่งผลิตก๊าซ เช่น โครงการอาทิตย์ ซึ่งจะเริ่มมีการผลิตในปี 49 โครงการบงกช โครงการไพริน และมีที่โอมาน และอีก 12,000-13,000 ล้านบาท ใช้เป็นงบในการดำเนินงานการผลิต โดยเงินลงทุนทั้งหมดนั้นมาจากกระแสเงินสดของบริษัทที่มี 20,000 ล้านบาท และที่เหลือก็มาจากผลการดำเนินงานของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะมีปริมาณสำรองปิโตรเลียม ประมาณ 1,000 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ในปี 49 จากปี 47 ที่มี 899 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งในปี 48 บริษัทใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 43,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 30,000 ล้านบาทในการเพิ่มกำลังการผลิต ที่เหลือเป็นงบสำหรับการดำเนินงาน
นายมารุต กล่าวว่า ในปี 49 จะเป็นปีที่มีความ ชัดเจนในเรื่องการผลิตน้ำมัน จากการที่บริษัทได้มีการเข้าไปสำรวจ เช่น ในโอมาน ที่บริษัทได้มีการเข้า ไปเจาะหลุมน้ำมันอีก 3 หลุม ทำให้มีกลุ่มน้ำมันเพิ่มเป็น 5 หลุม ซึ่งจากการเจาะหลุมเพิ่มนั้นก็พบน้ำมันและก๊าซในจำนวนที่มาก โดยคาดว่าเริ่มผลิตในปี 49 มีกำลังการผลิตที่ 50 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ในแอลจีเรีย บริษัทก็ได้มีการเจาะกลุ่มที่ 3 และบริษัทก็ยังคงมีการขยายในเวียดนาม อินโดนีเซีย อย่างต่อเนื่อง
ส่วนอิหร่าน บริษัทอยู่ระหว่างการตั้งสำนักงาน ซึ่งคาดว่าจะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนหน้า โดยบริษัทยังไม่มีการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนในขณะนี้ แต่ก็มีคนมาเจรจาหลายราย แต่หากเป็นผู้ร่วมทุนรายใดเข้ามาและทำให้บริษัทสามารถต่อยอดธุรกิจได้ก็จะมีการพิจารณา ส่วนพม่าที่บริษัท ได้มีการถือหุ้น 100% นั้นก็ยังไม่มีแผนที่จะขายหุ้นออกไป แต่หากมีผู้มาติดต่อและทำให้บริษัทต่อยอดธุรกิจได้ก็จะมีการพิจารณาเช่นกัน
ทั้งนี้ จากการที่บริษัทได้มีการขยายการลงทุนไปในต่างประเทศนั้น ก็มีผู้เป็นห่วงว่ามีความเสี่ยง นั้น ตรงนี้บริษัทไม่มีความเสี่ยงเพราะการไปต่างประเทศจะต้องเข้าไปสำรวจก่อน และใช้เงินไม่มากในกระบวนการดังกล่าว จะใช้เงินลงทุนที่สูงก็ต่อเมื่อ สำรวจพบน้ำมันและเริ่มการผลิต อย่างไรก็ตาม บริษัท คาดว่าในปีนี้จะมีปริมาณการขายมากว่า 151,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพราะ 9 เดือนแรก บริษัทสามารถขายได้ 160,000 บาร์เรลเทียบเท่า น้ำมันดิบต่อวัน จากประมาณการที่คาดว่าจะขาย ทั้งปีได้ 151,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
นายมารุต กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/48 จะมีรายได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/48 ที่มีรายได้รวม 19,987 ล้านบาท มีกำไร สุทธิ 7,183 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการขายและราคายังคงใกล้เคียงหรืออาจะมีการปรับเพิ่มขึ้นบ้างแต่ ไม่มาก และบริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการลงทุนไทยออยล์เพาเวอร์ โดยจะมีการประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 15 ธ.ค. ส่วนเรื่องที่บริษัทจะมีการแตกพาร์ ของบริษัทนั้นอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะแตกพาร์เมื่อไร
ทั้งนี้ สำหรับราคาขายสินค้าของบริษัทในไตรมาส 4/48 นั้น ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะราคาก๊าซจะมีการผันผวนไม่มากเหมือนกับราคาน้ำมัน ซึ่งมีเพียง 30% เท่านั้นที่อิงกับราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามในอีก 10 ปี จากนี้พลังงานหลักก็จะเป็น ก๊าซและน้ำมัน ดังนั้นบริษัทยังไม่มีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในพลังงานทดแทนอื่น
จากภาวะราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ จะส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติลดลงใน 6 เดือนข้างหน้า ตามรอบการผลิตและการซื้อขายก๊าซฯ เนื่องจากน้ำมันเตาเป็นต้นทุนร้อยละ 30 ของกระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติ โดยราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการและต้นทุน เช่าแท่นเจาะเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อราคาก๊าซฯ ในช่วง นี้บ้าง แต่ก็ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน ทำให้คาดว่าราคาก๊าซฯ ปีหน้าทั้งปีจะปรับขึ้นเล็กน้อย
|