พีน่า เฮ้าส์นำกลยุทธ์ซีอาร์เอ็มมาใช้เสริมความแกร่ง ล่าสุดเตรียมออกบัตรสมาชิก แข่งกับเครือไมเนอร์ พร้อมเปิดตัวปีหน้า คาดปีหน้ามีสมาชิก 50,000 ราย เดือนหน้าเตรียม นำเข้าแบรนด์เอ็ดฮาร์ดี้บุกสยาม พารากอน เล็งนำแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์มาเปิดตัว เปิดชอปเอ็กซ์โอเอ็กซ์โอที่สยามเซ็นเตอร์ในรูปแบบคอนเซ็ปต์ สโตร์ หวังปีหน้าโกยรายได้ 60 ล้านบาท เผยการปรับตัวของศูนย์การค้าส่งผลกระทบต่อยอดขายบางแบรนด์โตต่ำกว่าเป้า 20-30%
นายบุญมา วรรณานิภายน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจต่างประเทศ บริษัท พีน่า เฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยว่า กลยุทธ์ในการแข่งขันของธุรกิจเสื้อผ้าในปัจจุบันแต่ละค่ายจะต้องหาจุดเด่นและความแตกต่างซึ่งกลยุทธ์ซีอาร์เอ็มจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่หลายบริษัทให้ความสำคัญ บริษัทฯจึงต้องมีการ ทำตลาดเต็มรูปแบบ
ล่าสุดมีแผนทำบัตรสมาชิกสำหรับลูกค้าทั้งกลุ่มพีน่า ที่มีเกือบ 10,000 ราย ในการใช้เป็นสิทธิพิเศษส่วนลด 10% สำหรับทุกแบรนด์ของบริษัทฯที่มีเกือบ 20 แบรนด์ โดยจะมีการเจรจาร่วมกับสปอนเซอร์รายต่างๆ เพิ่ม คาด ว่าจะเปิดตัวได้ในเดือนธันวาคมนี้ โดยปีหน้าตั้งเป้าจำนวนผู้ถือบัตร 50,000 ราย
การที่บริษัทฯเตรียมออกบัตรสมาชิกก็เนื่องจากแบรนด์มีความพร้อมและจำนวนสาขาของแบรนด์ในเครือพีน่าที่มีมากพอในการรองรับตลาด ซึ่งเรื่องนี้ทางค่าย ไมเนอร์ก็มีแผนที่จะทำเหมือนกัน แต่ตรงนี้ก็ต้องขึ้นกับความพร้อมของซอฟต์แวร์ของแต่ละบริษัทว่าใครมีความพร้อมมากกว่า ขณะที่จำนวนการใช้จ่ายของลูกค้าต่อบิล มีคนละ 2,600 บาท
ทั้งนี้ บริษัทฯมีฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มโลคอลแบรนด์อยู่แล้ว ดังนั้นบริษัทฯจึงมีแผนขยายฐานไปสู่อินเตอร์แบรนด์มากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯมีสินค้าเสื้อผ้าที่ได้รับลิขสิทธิ์ในการนำเข้ามาจัดจำหน่าย 7 แบรนด์ เช่น เอคโค, ไนกี้ วีเมน, นาฟนาฟ, เอ็กซ์โอ เอ็กซ์โอ, วอนดัทช์ และโพนี่ ขณะที่ รองเท้านำเข้ามี 4 แบรนด์ เช่น นอติก้าและวอนดัทช์ เป็นต้น
ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดสาขาเอ็กซ์โอเอ็กซ์โอ ภายใต้รูปแบบ "คอนเซ็ปต์ สโตร์" ที่สยามเซ็นเตอร์ ภายใต้งบตกแต่ง 2 ล้านบาท บนพื้นที่ 150 ตร.ม. และเดือนหน้าเตรียมเปิดที่สยามพารากอน และ ดิ เอ็มโพเรียม รวมปีนี้มี 4 สาขาโดยสาขาแรกอยู่ที่สมุย ขณะที่ ปีหน้าบริษัทฯเตรียมเปิด 4 จุด แบ่ง เป็นชอปแบบสแตนด์อะโลนเพิ่ม2 แห่งที่เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา และเซ็นทรัล ลาดพร้าว คาดว่าเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาส 2
สำหรับเสื้อผ้าแบรนด์เอ็กซ์โอเอ็กซ์โอ จะเป็นเสื้อผ้าแนวผู้หญิง เหมาะสำหรับวัยรุ่นที่กล้าแต่งตัวและแนวออกเซ็กซี่ ระดับราคาประมาณ 1,500-4,000 บาท ปัจจุบันสินค้ามีกว่า 300 รายการและครอบคลุมตั้งแต่เสื้อผ้า, รองเท้า, กระเป๋า, นาฬิกา และเดือนหน้าเตรียมนำแว่นตาเข้ามาขาย ขณะที่กลางปีหน้าจะนำจิวเวลรีเข้า มาวางขาย
สำหรับงบทางการตลาดวางไว้ 5-8% ของยอดรายได้ ซึ่งปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้ 60 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้สิทธิ์ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายเสื้อผ้าเอ็กซ์โอเอ็กซ์โอในสิงคโปร์อีกด้วย ล่าสุดเตรียมเข้าไปวางขายสินค้าในห้างทากามิย่า 3 จุดขาย
บริษัทฯมีแผนนำแบรนด์ใหม่ จากอเมริกา "เอ็ด ฮาร์ดี้" ซึ่งเป็น แบรนด์เสื้อผ้าแนวแท็ททูหรือแนวรอยสักมาเปิดตัวที่สยามพารากอน เพื่อเจาะกลุ่มวัยรุ่นทั้งชายและ หญิง โดยระดับราคาประมาณ 2,500-4,000 บาท รวมถึงในปีหน้า บริษัทฯเตรียมนำเข้าอินเตอร์ แบรนด์อีก 3 แบรนด์ แบ่งเป็น 2 แบรนด์จากอเมริกาและอีก 1 แบรนด์จากเอเชีย
สำหรับผลประกอบการ 8 เดือนที่ผ่านมาของบริษัทฯยังเป็นไป ตามเป้า แต่มีบางแบรนด์ต่ำกว่า เป้า 20-30% เช่น เอคโค เนื่องจาก หลายปัจจัย อาทิ การปรับปรุงของศูนย์การค้าและภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งช่วง 2 เดือนที่เหลือคาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เนื่อง จากราคาน้ำมันเริ่มลดลงส่งผลดีต่อผู้บริโภคในแง่จิตใจและกำลังซื้อดีขึ้น
นายบุญมา กล่าวด้วยว่าภาพ รวมการแข่งขันของธุรกิจแฟชั่นเชื่อว่ามีความรุนแรง เนื่องจากการ เปิดตัวของสยามพารากอน และการมีแบรนด์ใหม่เข้ามามาก ดังนั้น แต่ละแบรนด์ต้องมีคาแร็กเตอร์ ที่ชัดเจนและมีความแตกต่าง
|