|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บิ๊กแบงก์กรุงเทพ "ชาตรี โสภณพนิช" ชี้แบงก์ต่างชาติเร่งระดมเงินฝาก ดึงดอกเบี้ย แบงก์ไทยต้องปรับรักษาฐานลูกค้า ตามการแข่งขัน กระทบรายได้ไตรมาสแรกปีหน้า เร่งหารายได้อื่นทดแทน มั่นใจทั้งปีผลกระทบการเติบโตใกล้เคียงปีนี้ เชื่อดอกเบี้ยน่าจะขยับขึ้นอีกเล็กน้อย เหมาะสมเงินฝากที่ 3-5% เงินกู้ ระดับ 6-7% หากสูงเกินกระทบต่อความสามารถชำระหนี้ พร้อมเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง แนะทางการคุมเงินเฟ้อไม่ควรเกิน 6%
นายชาตรี โสภณพนิช ประธาน กรรมการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร พาณิชย์ ว่า ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่มีการปรับขึ้นตามการแข่งขันที่ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศหันมาระดมเงินฝากในประเทศ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นตามการแข่งขัน เพื่อรักษาฐานลูกค้าของธนาคารไว้
ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมาหากธนาคารพาณิชย์ต้องการเงินระยะสั้นจะใช้เงินจากอินเตอร์แบงก์ แต่ปัจจุบันธนาคารจะใช้การระดม เงินฝากเอง ซึ่งจากการปรับดอกเบี้ย เงินฝากดังกล่าว อาจจะส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนธนาคารเพิ่มขึ้น และส่งผลให้รายได้ของธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 1 ปี 2549 ลดลงบ้าง
"ต้นทุนของแบงก์เริ่มขยับขึ้น จากการปรับดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อรักษาฐานลูกค้า ซึ่งจะมีผลต่อลูกค้า ประมาณ 1-2 วัน และมีผลต้นทุนเร็วกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ ที่ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งในการประกาศ เพื่อไม่ให้กระทบกับลูกค้าได้ในอนาคต ซึ่งต้องยอมรับว่ามีผลต่อรายได้ไตรมาสแรกปีหน้าแน่นอน" ประธานกรรมการ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผลประกอบการของธนาคารในปีหน้าคงจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากธนาคารจะเร่งหารายได้จากส่วนอื่นๆ เข้ามาทดแทนรายได้ที่หายไป และยังต้องเร่งติดตามหนี้สินที่บางส่วนต้องตัดขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ออกไป เพื่อลดภาระและสามารถนำเงินเข้ามาเป็นรายได้ของธนาคารอีกทางหนึ่ง ส่งผลให้รายได้รวมของธนาคารไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้น มองว่าอัตราดอกเบี้ย เงินกู้ที่เหมาะสมควรจะอยู่ในระดับ 6-7% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เหมาะสมควรจะอยู่ระดับ 3-5% โดยหากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นสูงกว่าระดับนี้จะก่อให้เกิดความเสียหาย และกระทบกับลูกค้าไม่ สามารถชำระหนี้ได้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยในระบบจะปรับขึ้นอีกไม่มาก เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย บาทกับดอกเบี้ยดอลลาร์อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก โดยระดับปัจจุบันมองว่าเหมาะสมแล้ว
ส่วนภาวะเศรษฐกิจของไทยยังคงขยายตัว อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2549 เศรษฐกิจจะมีอัตราการขยายตัวใกล้เคียงกับปีนี้ หากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับประมาณ 60 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล เศรษฐกิจไทยน่าจะรับได้ แต่ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อได้ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ราคาสินค้าปรับราคาตามเงิน เฟ้อ คาดว่าในปีหน้าเงินเฟ้อควรที่จะอยู่ในระดับ 5-6% เพื่อประคองให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่อเนื่อง
เดินหน้าลดการถือหุ้นบง.สินเอเซีย
ด้านความคืบหน้าลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเงินทุน (บง.) สินเอเซีย จำกัด (มหาชน) ที่ธนาคารถืออยู่ เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ของธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น นายชาตรี กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารได้มีการปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นลง จากเดิมที่ถืออยู่ 27.5% โดยที่ผ่านมาธนาคารได้ขายหุ้นสัดส่วน 7.5% ให้กับเจ้าหน้าที่พนักงานของบริษัทจำนวน 2% และให้กับนักลงทุนที่สนใจ 5% ทำให้ปัจจุบันธนาคารเหลือหุ้นใน บง.สินเอเซีย 20% ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้ทำไว้กับกระทรวงการคลัง โดยธนาคารมีเวลาในการขายหุ้นที่เหลืออยู่จำนวน 20% ออกไปในเวลา 2 ปี ซึ่งปัจจุบันธนาคารยังไม่คิดที่จะขายและยังไม่มีผู้ติดต่อเข้ามาเพราะยังมีเวลาก่อนที่จะครบกำหนด
|
|
|
|
|